วันที่ 9 ธันวาคม 2568 เวลา 15:52 น.
เหล่าทัพแถลงจุดยืน ลั่นไทยจะไม่ทนกับการกระทำของกัมพูชา พร้อมรบเต็มที่ จ่อชิงโจมตีก่อน หากกัมพูชาตั้งใจใช้อาวุธหนักถล่ม
วันที่ 9 ธันวาคม 2568 พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม , พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ , พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ , พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก และ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าวการดำเนินการของเหล่าทัพต่อสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก
โดย พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า สถานการณ์การปะทะที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เกิดจากการเปิดฉากยิงโจมตีทหารไทย ในพื้นที่ ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อ 7 ธันวาคม 2568 รวมทั้งการปะทะที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวานนี้ (8 ธันวาคม 2568) เป็นสาเหตุหลักที่ไทยไม่สามารถอดทนอดกลั้นกับการกระทำของกัมพูชาได้อีกต่อไป เนื่องจากการกระทำแบบเดิมๆ ของฝ่ายกัมพูชา โดยเป็นการรุกรานไทยและปฏิเสธการกระทำดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการยั่วยุในรูปแบบต่างๆ เช่น ลอบวางทุ่นระเบิดแต่สร้างภาพเรียกร้องสันติภาพ
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ฝ่ายไทยมุ่งมั่นปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และจำเป็นต้องดำเนินการทางทหารอย่างถึงที่สุด เช่นเดียวกับประชาชนชาวไทย หมดความอดทนอดกลั้นต่อการดำเนินการของกัมพูชาที่ไม่ได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของประเทศไทย รวมถึงการที่คนไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามต่อความปลอดภัยครั้งแล้วครั้งเล่า รัฐบาลไทยจึงต้องให้ความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตย และประชาชนทั้งชีวิตและทรัพย์สินจนกว่าอธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของไทยจะไม่ถูกคุกคาม ท่าทีของไทย และการปฏิบัติการทหารของไทยจะดำเนินไปจนกว่ากัมพูชาจะเปลี่ยนแปลงจุดยืน เช่น การกลับมาเลือกเดินบนทางเดินสู่สันติภาพที่แท้จริงและประเด็นสุดท้ายก็คือกัมพูชา นั้นเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงต่างๆ รวมถึงข้อตกลงหยุดยิงและถ้อยแถลงร่วม หรือ joint declaration ที่ได้มีการลงนามที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่ผ่านมา
ขณะที่ พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า สถานการณ์การปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่รับผิดชอบ ภายหลังเหตุปะทะเมื่อวันที่ 7-8 ธันวาคม 2568 การปะทะได้ขยายวงครอบคลุมพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว โดยฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธทุกประเภทโจมตี เช่น อาวุธกล ปืนใหญ่ จรวดหลายลำกล้อง โดรนทิ้งระเบิด รวมทั้งการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เข้าดำเนินการต่อฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ที่ทวีความตึงเครียด ทบ.ได้ปฏิบัติการทางทหารตามแผนเผชิญเหตุอย่างเป็นระบบ เพื่อการป้องกันตนเอง ควบคู่กับการผลักดันพื้นที่ที่ถูกรุกล้ำอธิปไตย และทำลายศักยภาพการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาไม่ให้สามารถเป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทย
พ.อ.ริชฌา กล่าวอีกว่า พื้นที่กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) 1.ทำลายตึกกาสิโนร้างเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งถูกใช้เป็นฐานที่ตั้งทางทหารและจุดปล่อยโดรน ในพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี 2.ทำลายเสาสัญญาณระบบแอนตี้โดรน ในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ 3.กวาดล้างพื้นที่ ที่รุกล้ำแนวปฏิบัติการ บริเวณช่องระยี ทิศตะวันออกของช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ 4.เข้าผลักดันทหารกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทคนา อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ โดยปัจจุบันยังไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้เบ็ดเสร็จ เนื่องจากมีสนามทุ่นระเบิดอยู่บริเวณโดยรอบ 5.ทำลายกระเช้าลำเลียงเสบียงบริเวณเนิน 350 พื้นที่ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์
พ.อ.ริชฌา กล่าวอีกว่า พื้นที่กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) ผลการปฏิบัติการผลักดันและควบคุมพื้นที่ตามแนวเส้นปฏิบัติการ ใน 3 ที่หมาย ได้แก่ บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง และบ้านคลองแผง อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว สามารถทำลายที่มั่นดัดแปลงของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ปฏิบัติการได้บางส่วน และเมื่อวานนี้ เวลา 17.00 น. สามารถยึดและควบคุมพื้นที่ตามแนวเส้นปฏิบัติการบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้วได้เรียบร้อยแล้ว ส่วนพื้นที่อื่นยังคงอยู่ระหว่างการปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง
ทบ.ขอยืนยันว่า ทุกการปฏิบัติการที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความปลอดภัยของประชาชนไทยในพื้นที่ชายแดน ตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ หลักมนุษยธรรม และมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติอย่างเคร่งครัด โดยกองทัพบกไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มความรุนแรง แต่มีหน้าที่ต้องตอบสนองต่อการล่วงละเมิดอธิปไตย อย่างจำเป็นและเหมาะสม
ด้าน พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า ภารกิจของกองทัพเรือในช่วงเช้า ได้เปิดปฏิบัติการทางทหารในการขับไล่ผู้รุกรานในพื้นที่บ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด หรือ บ้าน 3 หลัง หลังตรวจพบทหารกัมพูชากลับเข้ามายึดครองพื้นที่ใหม่อีกครั้ง และมีการเสริมกำลังปรับปรุงฐานที่มั่น และปรับปรุงบ้านเรือนที่ยังคงค้างอยู่ในพื้นที่ 3-4 หลัง โดยทำเป็นที่พักอาศัยและเป็นพื้นที่เก็บยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงพัฒนาเป็นฐานยิง มีการขุดคูเลตเพื่อวางกำลังเพิ่มเติม ประกอบกับมีการเสริมกำลังด้วยพลซุ่มยิงและรบพิเศษ มีการลาดตระเวนในพื้นที่บ่อยครั้ง ซึ่งนอกจากจะมีการวางกำลังทหารแล้ว ก็ยังมีการยั่วยุโดยใช้อากาศยานไร้คนขับมาตรวจการณ์ในพื้นที่ของไทย ซึ่งจุดที่มีการยั่วยุโดยอากาศยานไร้คนขับนั้น กระทำในจุดที่เป็นฐานที่มั่นของกองกำลังนาวิกโยธิน
พล.ร.ต.ปารัช กล่าวว่า ล่าสุดเมื่อเช้ามืดวันนี้ (9 ธันวาคม 2568) ทางกำลังทหารเรือได้ใช้กำลังทหารในการผลักดันทหารของกัมพูชาให้ถอยร่นออกจากพื้นที่ไป โดยใช้อาวุธขับไล่ และจนถึงขณะนี้ก็ยังคงติดพันการรบอยู่ ปฏิบัติการทหารยังไม่เสร็จสิ้น คาดว่าจะจบภายในเร็ววันนี้ ทั้งนี้ ยืนยันว่า ทร. ยึดมั่นในการรักษาอธิปไตยเป็นหลัก ไม่ได้มีการใช้อาวุธหนักเกินความจำเป็น เพียงเพื่อต้องการให้ทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ของประเทศไทยไปโดยเร็วที่สุด โดยก่อนหน้านี้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดตราดก็ได้สั่งการให้มีการอพยพพี่น้องประชาชนที่อยู่บริเวณชายแดนออกไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วน พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า ในส่วนของรายละเอียดการปฏิบัติการทางทหารร่วมกับกองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดน โดยมุ่งเป้าในการโจมตีเป้าหมายทางทหาร การดำเนินการของ ทอ.ตอบโต้การปฏิบัติการของกัมพูชาในการโจมตีฝ่ายเราก่อน เป็นความพยายามที่จะหยุดยั้งการกระทำที่เป็นภัยคุกคามต่อเอกราชอธิปไตย รวมถึงความปลอดภัยของประชาชน การกำหนดเป้าหมายที่ ทอ.โจมตีนั้น เป็นการวางแผนคิดร่วมกันระหว่างทอ.และทบ. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กกล.สุรนารี ในการกำหนดเป้าหมายที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติภารกิจ และส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งในเรื่องชีวิตและทรัพย์สิน ตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่ ทอ.ใช้เป็นการกำหนดเป้าหมาย
“การโจมตีเป้าหมาย จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าฝ่ายกัมพูชาจะยุติความพยายามในการกระทำที่เป็นภัยคุกคามต่อกำลังของเรา รวมถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ต่อจากนี้ไป ทอ.จะให้การสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจ ทั้งในส่วนของ กกล.สุรนารี กกล.บูรพา และกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี–ตราด (กปช.จต.) การปฏิบัติการร่วมของทั้ง 3 เหล่าทัพ ขอให้ความเชื่อมั่นกับพี่น้องประชาชนว่า กองทัพอากาศจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้ภารกิจครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี” พล.อ.ท.จักรกฤษณ์ กล่าว
ขณะที่ พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ตำรวจภูธรภาค 2 และภาค 3 รวมไปถึงตำรวจตระเวนชายแดน ดำเนินการรักษาความสงบ ด้วยการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และตรวจสอบเส้นทางอพยพ สนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกมิติ ด้านการอพยพจะต้องคำนึงถึงความมีมนุษยธรรม จะต้องจัดส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ ดูแลตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง อำนวยความสะดวก เรื่องเส้นทางจราจร ปิดกั้นเส้นทางอันตราย เพื่อนำประชาชนไปยังจุดหมายที่ปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ส่วนการรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สิน ในระหว่างที่ประชาชนต้องทิ้งบ้าน ไปยังจุดที่ปลอดภัย ตำรวจได้ทำการเข้าไปตรวจสอบอยู่ตลอด เพื่อไม่ให้โจรเข้ามาลักขโมย ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมประชาชน
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนข้อมูลของศูนย์พักพิงนั้น ในพื้นที่ของตำรวจภูธรภาค 3 มีจำนวนทั้งหมด 687 แห่ง มีประชาชนทั้งหมด 1 แสนกว่าคน ส่วนพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 มีศูนย์พักพิง 44 แห่ง มีประชาชนพักอาศัย 2 หมื่นกว่าคน มีตำรวจจำนวนกว่า 5 พันนาย คอยดูแลประชาชน และทาง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้มีการเตรียมกำลังให้พร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อคอยสนับสนุนทุกภารกิจเพื่อความปลอดภัยของประชาชน
9 ธันวาคม 2568
9 ธันวาคม 2568