หน้าแรก > อาชญากรรม

ทลายแก๊งบริษัทผีจีนเทา หลอกลงทุนเทรดหุ้น อายัดทรัพย์กว่า 21 ล้าน

วันที่ 11 กันยายน 2568 เวลา 11:47 น.


เปิดปฏิบัติการ “9.9 FAKE COMPANY” ทลายแก๊งบริษัทผีจีนเทา หลอกลงทุนเทรดหุ้น

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 15 ราย (คนไทย 14 ราย, คนจีน 1 ราย) แจ้งข้อหาฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่”

พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สิน ดังนี้

1. รถยนต์ รวม 9 คัน

2. กระเป๋าและเครื่องประดับแบรนด์เนม รวม 40 รายการ

3. เงินสดหลายสกุลมูลค่าประมาณ 300,000 บาท

4. โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวม 29 รายการ

5. สมุดบัญชีธนาคาร/บัตร ATM รวม 100 รายการ

6. ซิมการ์ด รวม 10 ซิม

7. พระเครื่อง รวม 23 องค์

รวมมูลค่าประมาณ 21 ล้านบาท

พฤติการณ์ เนื่องด้วยช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ผู้เสียหายพบเห็นโฆษณาบนเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการชักชวนลงทุนเทรดหุ้น จากนั้นจึงได้กดลิงก์โฆษณาดังกล่าวแล้วพบว่าเป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้เสียหายกรอกเบอร์โทร และไอดีไลน์เพื่อร่วมลงทุน และต่อมาได้มีคนร้ายใช้ไลน์ติดต่อมาหาผู้เสียหาย โดยอ้างว่าเป็นเลขาฯ ของอาจารย์นิติ โอสถานุเคราะห์ นักลงทุนชื่อดังในไทย ติดต่อมาเพื่อดูแลเรื่องการลงทุนของผู้เสียหาย อีกทั้งยังมีการให้ช่องทางติดต่อทางไลน์ของกลุ่มหน้าม้า ซึ่งคนร้ายอ้างว่าเป็นนักลงทุน เพื่อให้ผู้เสียหายพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องการลงทุน และคนร้ายที่อ้างว่าเป็นเลขาฯ ได้มีการให้ความรู้แก่ผู้เสียหายในเรื่องการลงทุนเรื่อยมา อีกทั้งยังเชิญผู้เสียหายเข้ากลุ่ม LINE ซึ่งมีสมาชิกเป็นหน้าม้าอยู่ในกลุ่มมากกว่า 100 คน

ต่อมาช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2568 คนร้ายได้เสนอโปรเจกต์การลงทุนซื้อขายหุ้นให้กับผู้เสียหาย โดยคนร้ายได้ชักชวนผู้เสียหายให้จองโควตาในการซื้อหุ้นไทยที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จริง แต่คนร้ายจะหลอกผู้เสียหายว่าสามารถตั้งเป้าหมายการทำกำไรอยู่ที่ประมาณ 10-20 % ภายในระยะเวลาประมาณ 2-3 วัน ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงเริ่มโอนเงินลงทุน ซึ่งมีผู้เสียหายรายนึงได้โอนเงินไปลงทุนจำนวน 5 ครั้ง มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,200,000 บาท

​ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. จึงได้ทำการสืบสวนขบวนการหลอกลงทุนดังกล่าว จนทราบว่ามีผู้ร่วมขบวนการทั้งคนไทยและคนจีน มีการแบ่งหน้าที่กันทำ ใช้บัญชีม้านิติบุคคลในการรับเงินจากการหลอกลวงจากผู้เสียหาย จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 24 ราย ซึ่งเป็นที่มาของการเปิดปฏิบัติการ “9.9 Fake Company” ตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 13 จุด ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และเชียงใหม่ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งสิ้น 15 ราย และอายัดตัวผู้ต้องในเรือนจำ 1 ราย พร้อมตรวจยึดของกลาง โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 29 รายการ, สมุดบัญชีธนาคาร/บัตร ATM จำนวน 100 รายการ และซิมการ์ด จำนวน 10 อัน และทรัพย์สินมีค่าต่างๆ ประกอบด้วย รถยนต์ จำนวน 9 คัน, กระเป๋าและเครื่องประดับแบรนด์เนม จำนวน 40 รายการ, เงินสดหลายสกุลมูลค่าประมาณ 300,000 บาท และพระเครื่อง จำนวน 23 องค์ รวมมูลค่าสิ่งของที่ตรวจยึดประมาณ 21 ล้านบาท

จากการสืบสวนและซักถามขยายผลพบว่า กลุ่มผู้ต้องหาเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่อย่างเป็นระบบ กลุ่มผู้บงการชาวจีนเป็นผู้สั่งการและกำหนดแนวทาง โดยจะมีคนไทยเป็นผู้ประสานงาน ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษา จัดหาบัญชีม้านิติบุคคลให้แก่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมื่อเงินของผู้เสียหายถูกโอนเข้าสู่บัญชีม้านิติบุคคล กลุ่มผู้ต้องหาจะมีการนัดหมายเบิกถอนเงินสดตามธนาคารสาขาต่างๆ โดยมีผู้รับผิดชอบประสานงานกับธนาคาร เพื่อให้สามารถถอนเงินได้ครั้งละหลายล้านบาท ขณะเดียวกันจะมีกลุ่มที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและควบคุมความเรียบร้อยระหว่างการถอนเงิน ทำหน้าที่ป้องกันการโกงหรือการหนีหายของกรรมการบริษัทบัญชีม้า ซึ่งภายหลังเมื่อมีการถอนเงินตามธนาคารสาขาต่างๆ แล้ว กลุ่มผู้ต้องหาจะรวบรวมเงินสดนำส่งต่อให้แก่ผู้บงการชาวจีนที่เป็นสมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สำหรับเหตุผลที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์เลือกใช้บัญชีนิติบุคคลม้าในการรับเงินจากผู้เสียหาย เนื่องจากต้องการทำให้เกิดความน่าเชื่อถือในการหลอกลงทุน และบัญชีนิติบุคคลจะไม่ค่อยถูกอายัด อีกทั้งเมื่อมีการทำธุรกรรมในยอดเงินจำนวนมาก จะไม่ค่อยถูกตรวจสอบจากสถานบันทางการเงินต่างๆ

ทั้งนี้จากการตรวจสอบในระบบแจ้งความออนไลน์ พบว่ามีคดีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้จำนวนทั้งสิ้น 265 คดี รวมมูลค่าความเสียหายว่า 654 ล้านบาท ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลงทุนเทรดหุ้นผ่าน อีกทั้งยังมีการแอบอ้างบุคคลผู้ที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุนต่างๆ

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาสัญชาติจีน และคนไทยบางส่วนซึ่งเป็นกลุ่มผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่สั่งการและรับเงินสด ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ยอมรับบางส่วนว่า ได้เดินทางไปรับเงินสดจริง แต่ไปรับตามคำสั่งของคนจีนอีกคนหนึ่ง รวมถึงบางคนก็รับว่า มีหน้าที่ในการจัดหาบัญชีนิติบุคคลม้า ,ทำหน้าที่เป็นล่ามในการติดต่อสื่อสารกับคนจีน และรับการว่าจ้างให้ใช้บัญชีนิติบุคคลเพื่อรับเงินที่ได้จากการเทรด และการพนันออนไลน์ ด้วย

 

ข่าวยอดนิยม