วันที่ 3 ตุลาคม 2567 เวลา 10:50 น.
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายในการกำกับดูแลราคาและปริมาณสินค้า “ห้ามขาด ห้ามแพง” และได้มอบหมายให้ผู้บริหารกระทรวงสำรวจตลาดในกรุงเทพและปริมณฑล โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลกินเจ มอบกรมการค้าภายในลงพื้นที่สำรวจตลาดรังสิต พบตลาดมีการจับจ่ายใช้สอยกันอย่างคึกคัก ในส่วนของราคาและปริมาณทั้งผักสดและอาหารสดปรุงสำเร็จ มีปริมาณ เพียงพอและราคาอยู่ในเกณฑ์ปกติ พบผักบางรายการมีการแบ่งขายราคาประหยัดเพียงกำละ 10 บาท
นายวิทยากร มณีเนตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังจากตรวจเยี่ยมตลาดรังสิต ในวันที่ 2 ตุลาคม 67 ว่า “ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ให้มีการกำกับดูแลสินค้า “ห้ามขาด ห้ามแพง” จึงได้ร่วมกับกรมการค้าภายใน ลงพื้นที่สำรวจราคาและปริมาณสินค้าในตลาดสดช่วงเทศกาลกินเจ 3-11 ตุลาคม 67 ในโครงการ “พาณิชย์จัดให้ ลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญราคาประหยัด” โดยร่วมกับสมาคมตลาดสด คุณขจรศรี สีม่วง ผู้จัดการสมาคมตลาดสดไทย และคุณสุดารัตน์ ชินวิรารัตน์ ผู้จัดการตลาดสดรังสิต
และพันธมิตรต่างๆ เพื่อดูแลผู้บริโภคในช่วงเทศกาลกินเจ และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงกินเจให้ซื้อได้ในราคาประหยัด จึงได้ลงพื้นที่ตลาดรังสิต ซึ่งเป็นตลาดในความส่งเสริมของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พบวัตถุดิบและเครื่องปรุงประกอบอาหารเจ ราคาลดลง และส่วนใหญ่ทรงตัว อาทิ เห็ดหอมธรรมชาติ ฟองเต้าหู้ ดอกไม้จีน โปรตีนเกษตร และซอสปรุงรสประเภทถั่วเหลืองต่างๆ ไม่มีการปรับราคาเพิ่มแต่อย่างใด ในส่วนของอาหารสดปรุงสำเร็จที่เป็นเมนูเจ ในตลาดรังสิต ราคาเริ่มต้นที่ 30-40 บาท
ในส่วนของผักสด มีการขายปลีก คะน้า ผักบุ้ง กวางตุ้ง ผักกาดขาว มะเขือเทศ และมะนาว ราคาลดลงจากปีก่อน ในส่วนของแตงกวา ฟักเขียว หน่อไม้และข้าวโพด ราคาทรงตัวเท่ากับปีก่อน โดยในตลาดนี้ มีการจัดแบ่งขายเป็นกำ ขายในราคาประหยัด อาทิ ผักบุ้งจีน คะน้า ต้นหอม ชุดเครื่องต้มยำ กำละ 10 บาท เป็นต้น
นายวิทยากรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ยังมีการตั้งจุดตรวจตราชั่งมาตรฐาน ภายในตลาดรังสิต เพื่อให้ผู้บริโภคได้มั่นใจว่าซื้อราคาที่ถูกต้องแล้วยังได้น้ำหนักที่ครบถ้วน จึงขอเชิญชวนผู้บริโภคประชาชนทุกท่านมาร่วมจับจ่ายใช้สอยในตลาดรังสิต และนอกจากนี้จะได้มีการลงพื้นที่สำรวจในตลาดอื่นๆอีกในกทม. และปริมณฑล ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจและออกมาจับจ่ายใช้สอย และหากพบเห็นความผิดปกติในด้านราคาและปริมาณสินค้า สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สายด่วน 1569 กรมการค้าภายใน”
“ในส่วนประชาชนได้รับเงินรัฐหนึ่งหมื่นบาทมีส่วนกระตุ้นในการจับจ่ายใช้สอยเป็นอย่างดี ทางกระทรวงพาณิชย์จึงได้มาสำรวจตลาดในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลก็พบว่า ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างคึกคัก ก็เป็นการหมุนเวียนเงินในระบบ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เอง มีหน้าที่กำกับดูแลราคาไม่ให้เกิดความผิดปกติโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ สั่งการให้กรมการค้าภายในมีการติดตามอย่างใกล้ชิดและได้พูดคุยกับสมาคมที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามสถานการณ์ไม่ให้สินค้าขาดแคลน และจากการจัดกิจกรรมดังกล่าวคาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ 2,250 ล้านบาท ลดค่าของชีพให้กับประชาชนได้กว่า 750 ล้านบาท ซึ่ง โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนและสอดรับกับโครงการเงินดิจิตอลของรัฐบาลด้วย“ นายวิทยากร กล่าว