หน้าแรก > เศรษฐกิจ

รองนายกฯ บวรศักดิ์ แจงประโยชน์การเข้าเป็นสมาชิก OECD ช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือประเทศ ดึงการลงทุนเพิ่มขึ้น

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 เวลา 23:07 น.


รองนายกฯ บวรศักดิ์ แจงประโยชน์การเข้าเป็นสมาชิก OECD ช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือประเทศ ดึงการลงทุนเพิ่มขึ้น พร้อมชี้แจงข้อกฎหมายเมื่อมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ

วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวเรื่องกฎหมายที่สำคัญ ประกอบด้วย 1. ประโยชน์ของการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) 2. ปัญหาข้อกฎหมายรัฐธรรมนูญว่า เมื่อมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีแล้ว จะยุบสภาผู้แทนราษฎรได้หรือไม่ เมื่อใด

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมโต๊ะกลม OECD ว่าด้วยความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม (OECD Global Roundtable on Equal Access to Justice) ซึ่งมีประเทศสมาชิกและไม่เป็นสมาชิกกว่า 50 ประเทศเข้าร่วม โดยรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้แทนประเทศไทย ได้รับเกียรติเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย โดยระบุว่าการเข้าเป็นสมาชิก OECD จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับนานาประเทศ โดยเฉพาะต่อนักลงทุน เนื่องจากมาตรฐานของกฎหมาย ข้อบังคับ นโยบายของรัฐบาล และการปฏิบัติของส่วนราชการจะเข้าสู่มาตรฐานของประเทศที่พัฒนาแล้ว 
ทั้งนี้ ประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับหากเข้าเป็นสมาชิก OECD  ได้แก่

1. โอกาสทางเศรษฐกิจและการลงทุนจะไหลเข้าประเทศมากขึ้น การเข้าเป็นสมาชิกถือเป็น “ตรารับรองมาตรฐานสากล” ซึ่งแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่าประเทศไทยมีกฎหมายและระบบการบริหารที่โปร่งใสและเชื่อถือได้ในระดับเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว เมื่อนักลงทุนต่างชาติมั่นใจ จะกล้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น เศรษฐกิจโตขึ้นและมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) สรุปว่า หากไทยสามารถเข้าเป็นสมาชิก OECD ลำดับที่ 3 ของเอเชีย อาจทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยโตขึ้น 1.6% หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึงประมาณ 2.7 แสนล้านบาท การลงทุนที่เพิ่มขึ้นนี้จะทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น และสิ่งที่เป็นผลพลอยได้กับนักลงทุนไทยคือเมื่อปรับปรุงกฎระเบียบให้โปร่งใสตามมาตรฐานสากลจะช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจ และเพิ่มคะแนนความสะดวกในการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) 
2. การปฏิรูปประเทศและกฎระเบียบ (ผลักดันการบริหารรัฐบาลดีขึ้น) ยกระดับกฎหมายให้มี “คุณภาพ” การเข้าเป็นสมาชิกเป็นเสมือน “แรงผลัก” ที่บังคับให้ไทยต้องปฏิรูปโครงสร้างในหลายมิติ โดยต้องปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ และการบริหารจัดการของภาครัฐให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล อีกทั้งการเข้าร่วม OECD เน้นเรื่องความโปร่งใสและธรรมาภิบาล ซึ่งจะช่วยกดดันและผลักดันการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศ
“โดยในวันที่ 8 ธันวาคมที่จะถึงนี้ เลขาธิการ OECD จะเดินทางมาลงนาม Initial Memorandum ร่วมกับนายกรัฐมนตรีของไทย” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

ส่วนปัญหาข้อกฎหมายรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นว่า เมื่อมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีแล้ว จะยุบสภาผู้แทนราษฎรได้หรือไม่ เมื่อใด? รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้บัญญัติไว้ครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี 2540 โดยก่อนหน้าตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2475 ถึง 2534 ไม่มีบทบัญญัติห้ามยุบสภาผู้แทนราษฎรทั้งที่มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ รองนายกรัฐมนตรีเป็นคนเสนอให้บัญญัติไว้เป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 185 และมาตรา 186 เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ขึ้นในปี 2538 กล่าวคือ มีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีทั้งคณะและมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 17-18 ธันวาคม 2538 เรื่อง สปก. 4-01 เมื่ออภิปรายเสร็จสิ้นลง พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งประกาศงดออกเสียงในการลงมติ และรัฐมนตรีพรรคนั้นจะถอนตัวทั้งหมด เป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นยุบสภาผู้แทนราษฎร ในเวลา 12.00 น. ของวันที่ 19 ธันวาคม 2538 1 ชั่วโมงครึ่งก่อนการลงมติในเวลา 13.30 น. เป็นเหตุให้สภาผู้แทนราษฎรในเวลานั้นไม่สามารถลงมติได้ รองนายกรัฐมนตรีจึงเสนอให้บัญญัติไว้ในมาตรา 185 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญ 2540 ว่า “เมื่อได้มีการเสนอญัตติแล้ว จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมิได้ เว้นแต่จะมีการถอนญัตติหรือการลงมตินั้นไม่ได้คะแนนเสียงตามวรรคสาม” ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างอำนาจอภิปรายไม่ไว้วางใจ อันเป็นการตรวจสอบรัฐบาลของสภาผู้แทนราษฎร และอำนาจของฝ่ายบริหารในการถ่วงดุลสภาด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎร บทบัญญัติมาตรานี้ของรัฐธรรมนูญ 2540 ก็มาปรากฏในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 158 วรรคหนึ่ง และในรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับปัจจุบันในมาตรา 151 วรรคสอง

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็คือ การห้ามยุบสภาผู้แทนราษฎรเพราะการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจดังกล่าว จะเริ่มเมื่อใด และสิ้นสุดลงเมื่อใด? ถ้าพิจารณาตามตัวอักษรมาตรา 151 วรรคสอง ที่ใช้คำว่า “เมื่อได้มีการเสนอญัตติตามวรรคหนึ่งแล้ว จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมิได้” ก็อาจจะบอกว่า ยื่นญัตติไม่ไว้วางใจก็ห้ามยุบสภาแล้ว ไม่ต้องดูอย่างอื่น นี่เป็นการตีความที่ง่ายตามตัวอักษรล้วน ๆ ไม่ดูสิ่งอื่นเลย ดูจะง่ายเกินไป แต่ถ้าพิจารณาถ้อยคำต่อมาซึ่งบัญญัติว่า “เว้นแต่จะมีการถอนญัตติ” หรือ “การลงมติไม่ได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง” ก็จะเข้าใจได้ชัดเจนว่า ต้องเป็นญัตติที่ครบถ้วน ถูกต้องและสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมสภา ผู้แทนราษฎร พ.ศ.2562

ที่ต้องตีความโดยใช้ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรฯ ว่าด้วยการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจในหมวด 9 ส่วนที่ 1 ข้อ 176 ประกอบด้วย เพราะว่าการถอนญัตติไม่มีบัญญัติไว้ในที่ใดในรัฐธรรมนูญเลย การถอนญัตติที่รัฐธรรมนูญมาตรา 151 วรรคสองระบุไว้จึงต้องดูข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรฯ  เท่านั้น เพราะบทบัญญัติรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติถึงการถอนญัตติไว้แต่อย่างใด ดังนั้นที่กล่าวว่า ต้องดูรัฐธรรมนูญซึ่งใหญ่กว่าข้อบังคับการประชุมแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องดูข้อบังคับการประชุม ฯ จึงไม่ถูกต้อง เพราะการถอนญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจจะทำได้หรือไม่เพียงใดต้องใช้ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรฯ โดยเฉพาะข้อ 62 ซึ่งบัญญัติว่า

“ข้อ 62 การถอนชื่อจากการเป็นผู้ร่วมกันเสนอญัตติใด หรือจากการเป็นผู้รับรองจะกระทำได้เฉพาะก่อนที่ประธานสภาสั่งบรรจุญัตตินั้นเข้าระเบียบวาระการประชุม ในกรณีที่ประธานสภาสั่งบรรจุญัตตินั้นเข้าระเบียบวาระการประชุมแล้วจะถอนชื่อได้ต่อเมื่อได้รับความ ยินยอมของที่ประชุม” เมื่อต้องนำข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มาใช้ประกอบ รัฐธรรมนูญมาตรา 151 วรรคสอง ก็จะเอาเฉพาะข้อ 62 มาใช้ข้อเดียว แต่ไม่นำแต่ไม่นำข้อ 176 มาใช้ด้วย ก็ดูจะประหลาด เหมือนเลือกใช้ข้อบังคับเฉพาะที่ตนได้ประโยชน์ ถ้าตนไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่ต้องเอามาใช้ โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญใหญ่กว่า
ข้อบังคับข้อ 176 ซึ่งอยู่ในหมวด 9 ส่วนที่ 1 การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ บัญญัติว่า “เมื่อประธานสภาได้รับญัตติตามข้อ 175 แล้ว ให้ทำการตรวจสอบ หากมีข้อบกพร่องให้ประธานสภาแจ้งผู้เสนอทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับญัตติ เมื่อประธานสภาได้ตรวจสอบความถูกต้องของญัตติแล้ว ให้บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเป็นเรื่องด่วนและแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ”

การที่ข้อบังคับข้อ 176 บัญญัติเช่นนี้ เพราะว่าในอดีตเคยมีญัตติไม่ไว้วางใจหลายครั้งที่มีความไม่สมบูรณ์ เช่น ช่วงที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ พ.ศ. 2523 ถึง 2532 มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีสามครั้ง ซึ่งทุกครั้งมีการยื่นญัตติดังกล่าวต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่ในเวลาต่อมาก่อนเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกเปรม มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถอนรายชื่อออกจากญัตติ ทำให้ญัตติดังกล่าว ไม่ครบถ้วน สมบูรณ์เป็นญัตติที่อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้

ในเดือนสิงหาคมปีนี้ สมาชิกวุฒิสภาจำนวน 21 คน เข้าชื่อกันยื่นต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภา 136 คน สิ้นสุดลง ปรากฏว่าลายมือชื่อไม่สอดคล้องกับลายมือชื่อที่ให้ไว้กับสำนักเลขาธิการวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง เมื่อได้ตรวจสอบแล้วก็ปรากฏว่า รายชื่อ 3 รายชื่อจาก 21 รายชื่อไม่ตรงกับที่ให้ไว้กับสำนักเลขาธิการวุฒิสภา ทำให้การเข้าชื่อดังกล่าว มีจำนวนไม่ครบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เรื่องดังกล่าวจึงตกไป นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ลำพังการเสนอญัตติไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 วรรคสองแต่เพียงอย่างเดียว ยังไม่รู้เลยว่าญัตติดังกล่าวจะมีความถูกต้องสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับหรือไม่ ข้อบังคับข้อ 176 จึงบังคับประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ตรวจสอบ ต่อเมื่อญัตติถูกต้องแล้ว ก็ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการ 2 ประการ คือ 1) บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเป็นเรื่องด่วนและ 2) แจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ

คำถามก็คือว่า เมื่อมีการเสนอญัตติไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 วรรคสอง ประธานสภารีบแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบทันทีโดยไม่ต้องตรวจสอบได้หรือไม่ คำตอบก็ชัดเจนอยู่ในตัวแล้วว่า ถ้าประธานสภาแจ้งโดยไม่ตรวจสอบ ก็ทำผิดข้อบังคับเสียเอง เพราะญัตติดังกล่าวอาจมีความบกพร่องไม่สมบูรณ์ จึงไม่อาจบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเป็นเรื่องด่วนได้ ต้องตรวจสอบเสียก่อน ซึ่งข้อบังคับให้เวลาตรวจสอบถึง 7 วัน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เคยเกิดมาก่อนหลายต่อหลายครั้ง เมื่อตรวจสอบไม่มีข้อบกพร่อง ญัตติมีความถูกต้องสมบูรณ์ ข้อบังคับจึงให้แจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ และนับแต่วันที่ประธานสภาแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ ข้อห้ามมิให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการเพื่อยุบสภาผู้แทนราษฎร จึงเริ่มนับเวลาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป ไม่ใช่นับตั้งแต่วันที่ฝ่ายค้านเสนอญัตติไม่ไว้วางใจซึ่งยังไม่มีการตรวจสอบ และซึ่งอาจมีข้อบกพร่องไม่สมบูรณ์ เช่นลายมือชื่อไม่ถูกต้อง จำนวนชื่อไม่ครบ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ถ้าตีความตามตัวหนังสือของมาตรา 151 วรรคสองโดยไม่พิเคราะห์ข้อบังคับหมวด 9 ส่วนที่หนึ่งข้อ 175 และข้อ 176 ประกอบด้วยแล้ว ต่อไป จะมีการอาศัยการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจซึ่งอาจไม่สมบูรณ์ บกพร่อง เพื่อตัดอำนาจถ่วงดุลในการยุบสภาของฝ่ายบริหารได้เสมอ

อนึ่ง สภาแห่งนี้เคยใช้ข้อบังคับฉบับเดียวกันนี้ข้อ 65 ตัดสิทธิคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ไม่ให้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 โดยอ้างว่า ขัดข้อบังคับข้อ 65 ซึ่งห้ามเสนอญัตติที่มีหลักการอย่างเดียวกันในสมัยประชุมเดียวกัน ทั้งที่มาตรา 159 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ บัญญัติว่า “การเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร” มาตรานี้ไม่ได้พูดถึง “ญัตติเสนอชื่อ” ใช้คำว่า “การเสนอชื่อ” ก็ยังไปเอาข้อบังคับมาใช้ตีความว่าเป็นญัตติ เสนอชื่อ คุณพิธา ครั้งที่ 2 ไม่ได้ อ้างว่าขัดข้อบังคับ ข้อ 65 เอาข้อบังคับมาใช้ตัดสิทธิคน ก็ทำมาแล้วมา บัดนี้ บอกว่าไม่ต้องใช้ข้อบังคับ ตกลง “หลักการ” ที่ถูกต้องคืออะไร
 

ข่าวยอดนิยม