วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 เวลา 15:26 น.
วันนี้ (14 พ.ย.) นายไชยรัตน์ ปาวะกะนันท์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผย กรณีเจ้าหน้าที่ชุด บก.สส.บช.น. ควบคุมตัว นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ในโรงแรมชื่อดัง ย่านเพลินจิต กรุงเทพมหานคร หลังศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับในฐานความผิดร่วมกันเป็น อั้งยี่ ซ่องโจร และร่วมกันเรียกค่าไถ่และข่มขืนใจผู้อื่น กรณีถูกกล่าวหาว่ามีการอุ้มเรียกค่าไถ่ชาวไต้หวัน โดยระบุว่า
คดีนี้เหตุเกิด วันที่ 28 มีนาคม 2564 มีผู้ต้องหา 25 คน อัยการสั่งฟ้องและเห็นควรสั่งฟ้อง (ผู้ต้องหาที่ไม่มีตัวหรือหลบหนี) ข้อหา ร่วมกันอั้งยี่ซ่องโจร ,ร่วมกันเรียกค่าไถ่ ,ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการ ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือผู้อื่นหรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ ,ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ,ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ,ร่วมกันมีอาวุธไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
ส่วนที่ถามว่า ทำไม 4 ปี คดีถึงเพิ่งมีการพิจารณาสั่งคดี นายไชยรัตน์ อธิบายว่า ก่อนหน้านี้มีการพิจารณาส่งสำนวนคดีไปให้อัยการสูงสุดพิจารณาว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักรหรือไม่ และเมื่อความเห็นของอัยการสูงสุดลงมาว่าไม่ใช่คดีนอกราชอาณาจักรจึงให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามปกติ โดยตำรวจส่งสำนวนครั้งแรก ผู้ต้องหามาไม่ครบ มีคนหลบหนี โดยนายสันธนะเดินทางมาพบพนักงานอัยการในรอบแรก โดยยื่นประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน เบื้องต้นพนักงานอัยการได้ส่งตัวผู้ต้องหาที่ 7, 10-14, 15-18 ไปฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 548/68/68 คดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน พนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนกลับมาที่สำนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้อีกครั้ง เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 โดยไม่มีการควบคุมตัวนายสันธนะ
ต่อมาพนักงานอัยการได้มีหนังสือแจ้งให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาที่เหลือ (รวมถึงนายสันธนะ ผู้ต้องหาที่ 19) มาส่งตัวให้พนักงานอัยการนำไปฟ้องต่อศาล โดยให้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมในความผิดฐาน ร่วมกันเรียกค่าไถ่ ,ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
วันที่ 18 สิงหาคม 2568 พนักงานอัยการมีหนังสือแจ้งให้พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาที่เหลือมาส่งพนักงานอัยการเพื่อนำตัวไปฟ้องต่อศาลโดยให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้ครบถ้วน
วันที่ 15 ตุลาคม 2568 พนักงานอัยการมีหนังสือแจ้งเตือนพนักงานสอบสวนให้นำตัวผู้ต้องหาที่ 1, 3, 4, 6, 9, 19-25 มาส่งพนักงานอัยการเพื่อนำตัวไปฟ้องต่อศาลโดยให้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมให้ครบถ้วน
นายสันธนะ เคยมาพบพนักงานอัยการโดยมาแจ้งว่า ได้ไปพบพนักงานสอบสวนแล้ว และได้นำบันทึกประจำวันคดีมาแสดงว่าได้มาพบพนักงานสอบสวนและจะนัดมาเพื่อพบพนักงานอัยการอีกครั้ง โดยไม่เคยยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมตามระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุด และตามกฎหมายพนักงานอัยการก็ไม่มีอำนาจจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ และเรายังไม่สามารถนำตัวไปฟ้องในวันนั้นได้ เนื่องจากพนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมตามที่อัยการสั่งไป
ส่วนที่มีการออกหมายจับ เนื่องจากภายหลังพนักงานสอบสวนได้มีหนังสือเรียกให้มาพบเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวมาส่งให้อัยการ 2 ครั้งติดกัน แต่ไม่มา พนักงานสอบสวนเลยไปขอออกหมายจับเพื่อนำตัวมาส่งให้พนักงานอัยการนำตัวมาฟ้องศาล