หน้าแรก > สังคม

สทนช. คาดหลัง 13 พ.ย.นี้ ฝนลด-น้ำลง ปัจจัยจากอากาศหนาว

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09:12 น.


วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 11 พ.ย. 68 เวลา 7.00 น. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 89% ของความจุเก็บกัก (71,713 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 82% (47,590  ล้าน ลบ.ม.) การประเมินสถานการณ์แหล่งน้ำ โดยแหล่งน้ำขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำเก็บกักน้อยกว่า 30% จำนวน 19 แห่ง ดังนี้ ภาคกลาง 3 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 แห่ง ภาคตะวันออก 6 แห่ง ภาคตะวันตก 5 แห่ง และภาคใต้ 2 แห่ง

ส่วนคุณภาพน้ำ ณ จุดเฝ้าระวัง แม่น้ำสายหลัก แบ่งเป็น น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค แม่น้ำเจ้าพระยา ณ สถานีสูบน้ำสำแล จ.ปทุมธานี อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และน้ำเพื่อการเกษตร แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

โดยช่วงบ่ายวานนี้ (10 พ.ย. 68) นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมปรึกษาหารือการติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และการคาดการณ์ เพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

ที่ประชุม เห็นว่า ในปีนี้มีฝนตกเหนือเขื่อนเจ้าพระยา มากเป็นอันดับ 2 รองจากปี 2565 โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่มีฝนตกหนักจากอิทธิพลทางอ้อมของพายุ “คัลแมกี” ส่งผลให้มีมวลน้ำระลอกใหม่ไหลเข้าเขื่อนภูมิพลเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันเหลือช่องว่างรองรับน้ำอยู่เพียงประมาณ 127 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) จึงมีมติเห็นชอบให้ทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบขั้นบันไดของเขื่อนภูมิพล จากอัตราเดิม 45 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 48 ล้าน ลบ.ม. ต่อวันในวันที่ 10 พ.ย. 68

ทั้งนี้ มวลน้ำดังกล่าวจะไหลต่อเนื่องลงสู่พื้นที่ตอนล่าง คาดว่าจะมีปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์สูงสุดประมาณ 3,100 ลบ.ม. ต่อวินาที และมีระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจังหวัดอุทัยธานีและชัยนาท ในส่วนของท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จะเริ่มเพิ่มการระบายน้ำตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 68 จากอัตรา 2,800 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 2,900 ลบ.ม. ต่อวินาที และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง ซึ่งยังต่ำกว่าปี 2554 ที่มีการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุด 3,700 ลบ.ม. ต่อวินาที และ คาดว่าการระบายมวลน้ำรอบนี้จะเป็นรอบสุดท้ายของฤดูฝนปี 2568 

เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ประเมินว่า ฝนในพื้นที่ตอนบนจะลดลงตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 68 และไม่มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากพายุเพิ่มเติม เนื่องจากมวลความกดอากาศสูงได้แผ่เข้าปกคลุมพื้นที่ โดยฝนจะเคลื่อนตัวไปตกหนักในพื้นที่ภาคใต้มากขึ้น คาดว่าจะสามารถเริ่มระบายน้ำในอัตราต่ำกว่า 1,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ได้ในช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 2 - 3 ของเดือนธันวาคม

 

ข่าวยอดนิยม