วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เวลา 15:31 น.
รวบแก๊งวิดีโอคอลหลอกโหลดแอป อ้างคืนเงินชดเชยที่ดิน ตร.อายัดทันเต็มจำนวน นำคืนผู้เสียหาย
21ต.ค. 68 ตำรวจไซเบอร์ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว รวบแก๊งวิดีโอคอล หลอกโหลดแอป อ้างคืนเงินชดเชยที่ดิน ตร.ไซเบอร์อายัดทันเต็มจำนวนกว่า 8 แสน นำคืนผู้เสียหาย
โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ก.ค.68 ได้มีผู้เสียหายเป็นหญิงอายุ 57 ปี รายหนึ่ง ได้รับสายจากมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ อบต.ระโสม อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้เสียหายครอบครองที่ดินไว้ โดยแจ้งว่าหน่วยงานมีการสำรวจที่ดิน จึงให้ยื่นภาษีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้แอดไลน์แล้วส่งเอกสารส่วนบุคคล อาทิ สำเนาทะเบียนบ้าน, สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาโฉนดที่ดิน, เอกสาร ภดส.3 และแบบฟอร์มบัญชีรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตามที่คนร้ายแนะนำ เพื่อรอรับเงินชดเชยค่าโอนที่ดิน
หลังจากนั้นได้ให้ผู้เสียหาย แอดไลน์ชื่อ “ฝ่ายทะเบียนเอกสาร” และได้ส่งลิงก์ปลอมให้ผู้เสียหายกด โดยอ้างว่าเป็นลิงก์เกี่ยวกับเอกสารที่ดินของ อบต.ระโสม จากนั้นมิจฉาชีพ ได้โทรวีดีโอคอลมาหาผู้เสียหายแล้วแนะนำให้ผู้เสียหายดาวน์โหลดแอป “Smart Lands” ซึ่งในระหว่างการดาวน์โหลดแอปดังกล่าว คนร้ายก็ได้วิดีโอคอลคอยบอกขั้นตอนเพื่อขอแชร์หน้าจอ แล้วสั่งให้ผู้เสียหายเข้าแอปธนาคารของผู้เสียหาย เพื่อทำตามขั้นตอนที่เป็นการตั้งค่าแอปดังกล่าวใหม่
โดยคนร้ายได้สั่งให้เปลี่ยนจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นได้หลอกให้ผู้เสียหายกดเปลี่ยนวงเงินการโอน และสแกนใบหน้า ต่อมา คนร้ายได้ส่งเอกสารอนุมัติสั่งจ่ายจากสำนักงานกรมที่ดิน แล้วหลอกให้ผู้เสียหายใส่รหัส OTP ในแอปธนาคารของผู้เสียหาย โดยอ้างว่าเป็นรหัสในการรับเงินชดเชยจากกรมที่ดิน สุดท้ายเงินของผู้เสียหายถูกโอนออกไป จำนวน 879,098 บาท โดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นคนร้ายได้สั่งให้ผู้เสียหายรอรับเงินชดเชยจากกรมที่ดินประมาณ 17,500 บาท วันต่อมา ผู้เสียหายจึงได้เดินทางไปที่ องค์การบริการส่วนตำบลระโสม เพื่อยื่นเอกสารขอรับเงินชดเชย ผู้เสียหายจึงรู้ตัวว่าโดนหลอกลวง
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการในข้อหาต่างๆถึง 6 ข้อหา และได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาในขบวนการ เป็นหญิง 2 ราย คือ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 40 ปี และ น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี โดยทั้ง 2 ราย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
เบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 2 รายอ้างว่ารู้จักกัน โดยก่อนเกิดเหตุ น.ส.เอ ได้รับมอบอำนาจจากญาติของตนเอง ให้ช่วยหาคนมาเช่าที่ดินในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยทำสัญญาเช่าเป็นระยะเวลา 2 ปี คิดค่าเช่า 2 ล้านบาท น.ส.เอ จึงได้ฝาก น.ส.บี ให้ช่วยหาผู้เช่า โดยก่อนเกิดเหตุในคดีนี้ 1 วัน น.ส.บี ได้แจ้งกับ น.ส.เอ ว่าหาผู้เช่าได้แล้ว โดยผู้เช่าจะโอนเงินค่าเช่ามาให้ในวันรุ่งขึ้น โดยต่อมา น.ส.เอ ก็ได้ไปรอถอนเงินที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ใน อ.แม่สอด ตามกำหนดนัดที่แจ้งไว้
ต่อมาก็ได้มียอดเงินที่โอนมาจากบัญชีของผู้เสียหายเข้าบัญชีของ น.ส.บี ก่อนจะถูกโอนต่อให้ น.ส.เอ แต่เมื่อ น.ส.เอ ได้พยายามถอนเงินจากธนาคารนั้น ปรากฏว่าบัญชีถูกอายัด จึงได้เข้าพบพนักงานสอบสวนในเวลาต่อมาและรับทราบข้อกล่าวหา ส่วนเหตุผลที่ต้องถอนเงินออกมาเป็นเงินสดนั้น น.ส.เอ อ้างว่าตนเองจำเป็นต้องถอนเงินยอดดังกล่าวเป็นเงินสดเพื่อนำไปส่งมอบให้แก่ญาติของตนเองที่ปล่อยเช่าที่ดิน เนื่องจากญาติคนดังกล่าวเป็นผู้สูงอายุ จึงไม่ค่อยเข้าใจการใช้งานระบบ Mobile Banking ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหาทั้ง 2
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถประสานธนาคารเพื่ออายัดยอดเงินตามที่ผู้เสียหายถูกหลอกลวงได้เต็มจำนวน 879,098 บาท โดยวันนี้ พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.สอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดติดตามคดี จึงได้ร่วมกันนำเงินจำนวน 879,098 บาท คืนให้แก่ผู้เสียหาย ตามโครงการ “Money Cash Back ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน”