วันที่ 19 ตุลาคม 2568 เวลา 22:56 น.
กองปราบฯ ปฏิบัติการตัดแขนขาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตรวจค้น 15 จุด รวบ 15 ผู้ต้องหา
กองบังคับการปราบปราม โดย พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม กก.3 บก.ป. นำกำลังออกกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์และมิจฉาชีพออนไลน์ ที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วประเทศ
โดยการสืบสวนจากกลุ่มผู้เสียหายใน 3 คดี คือ “สวมรอยระบบ” ให้เหยื่อเปลี่ยนภาษาแอปธนาคาร เพื่อยึดบัญชี, โทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่บริษัทมือถือ (คอลเซ็นเตอร์) และหลอกลงทุนผ่านเพจเว็บไซต์ปลอม อ้างเป็นบริษัทชื่อดัง ก่อนเข้าตรวจค้นเป้าหมาย 15 จุด ในพื้นที่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น อุบลราชธานี บึงกาฬ และจังหวัดอื่นๆ พร้อมจับกุมผู้ต้องหาไว้ได้ 15 ราย
คดีที่ 1 เข้าจับกุม นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 45 ปี น.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี และนายซี (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี น.ส.สุพิชญา อายุ 33 ปี ตามหมายจับศาลอุบลราชธานี เลขที่ จ.747-750/2568 ลงวันที่ 3 ต.ค.68
ข้อหา “เปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงิน อิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะ นำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดอาญาอื่นใด, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ”
คดีที่ 2 เข้าจับกุมนายนัด (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี นางแนท (นามสมมุติ) อายุ 57 ปี นายนิด (นามสมมุติ) อายุ 53 ปี น.ส.นุช (นามสมมุติ) อายุ 24 ปี นายน้อย (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 3 ต.ค.68 ข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารราชการ, ใช้เอกสารราชการปลอม, ฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ร่วมกันฟอกเงิน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ฯ“
คดีที่ 3 เข้าจับกุม นายกิจ (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี นายไก่ (นามสมมุติ) อายุ 39 ปี น.ส.กุ้ง (นามสมมุติ) อายุ 47 ปี นายสุพัฒ อายุ 50 ปี นายกั้ง (นามสมมุติ) อายุ 37 ปี และนายแก้ว (นามสมมุติ) อายุ 30 ปี ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น ลงวันที่ 3 ต.ค.68 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน
ทั้งนี้พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และมิจฉาชีพออนไลน์ ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ มีเหยื่อจำนวนมากถูกหลอกให้โอนเงินผ่านโทรศัพท์ แอปพลิเคชัน และสื่อสังคมออนไลน์ โดยกลุ่มคนร้ายใช้เทคนิคที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทั้งการปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ สถาบันการเงิน หรือหน่วยงานที่ประชาชนไว้วางใจปฎิบัติการครั้งนี้ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในหลายพื้นที่ที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว
คดีที่ 1 แอบอ้างเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง เหยื่อสูญเกือบ 5 แสนบาท ผู้เสียหายถูกโทรศัพท์ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลาง ให้ทำตามขั้นตอนทางไลน์และเปลี่ยนภาษาในแอปธนาคาร สุดท้ายเงินในบัญชีถูกโอนออก จำนวน 2 ครั้ง รวม 497,840 บาท พบเป็นกลุ่มเดียวกับขบวนการฟอกเงินคอลเซ็นเตอร์จากประเทศเพื่อนบ้าน
คดีที่ 2 แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่บริษัทให้บริการสัญญาณโทรศัพท์ ผู้เสียหายถูกคนร้ายโทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการ และต่อสายให้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลอกว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดและต้องโอนเงินมาเพื่อตรวจสอบ ผู้เสียหายจึงได้โอนเงินไปยังบัญชีม้า จำนวน 604,008 บาท ก่อนถูกกระจายต่อเข้าสู่ระบบ e-Money
คดีที่ 3 หลอกลงทุนหุ้นร้านกาแฟชื่อดัง สูญกว่า 7 แสนบาท ผู้เสียหายถูกเพจปลอม ชวนลงทุนในหุ้นบริษัท ให้แอดไลน์ อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก ชักชวนลงทุนทั้งระยะสั้น และระยะยาว สร้างผลกำไรได้ 12-30% เหยื่อโอนเงินลงทุน ให้คนร้าย 6 ครั้ง ทั้งหมด 703,400 บาท
จากการสอบสวนผู้ต้องหารับว่าแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน ตั้งแต่บัญชีรับโอนจากผู้เสียหาย การถ่ายเงินต่อ จนถึงการถอนเงินสด นอกจากนี้ยังพบเป็นกลุ่มเดียวกับขบวนการฟอกเงินคอลเซ็นเตอร์จากประเทศเพื่อนบ้าน มีเส้นทางการเงินหลายชั้น จึงนำตัวผู้ต้องหาส่ง สภ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี, สภ.เมืองขอนแก่นและ สน.มักกะสัน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป




