วันที่ 29 กันยายน 2568 เวลา 16:16 น.
หลังจากที่สำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกับ กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) รับตัวผู้ร้ายข้ามแดน คดีทุจริตเงินทอนวัด จากสหรัฐอเมริกา กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 ซึ่งผู้ต้องหาสำคัญรายนี้ เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินอุดหนุนเพื่อบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัดกว่า 65 แห่ง
ล่าสุดวันที่ 29 กันยายน 2568 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ได้นำตัวผู้ถูกกล่าวหามายื่นฟ้องต่อศาลเป็นคดีหมายเลขดำที่ อท.162/2568 ฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 147, 151, 157 และขอศาลได้สั่งให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินจำนวน 8,000,000 บาท คืนแก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผู้เสียหาย
โจทก์ขอคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากจำเลยได้กระทำความผิดในลักษณะนี้ในอีกหลายคดี คดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ประกอบกับจำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี โดยจำเลยได้หลบหนีไปยังสหรัฐอเมริกา และเป็นบุคคลที่ได้มีการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนของทางการไทยกลับมายังประเทศไทยเพื่อนำมาดำเนินคดี หากปล่อยตัวไปเกรงว่าจำเลยจะหลบหนีอีก จึงขอคัดค้านการประกันตัวจำเลย
ศาลมีคำสั่งประทับฟ้อง สำเนาให้จำเลย หมายขังจำเลย โดยไม่มีญาติหรือบุคคลอื่นใด ยื่นขอประกันตัวแต่อย่างใด ในส่วนของการกระทำความผิดตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 ที่ จ.24/2566 ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2566 (จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 65 จังหวัด) เนื่องจากความผิดเกี่ยวข้องกับคดีหมายเลขดำที่ อท.110/2566 คดีหมายเลขแดงที่ อท.76/2567 และคดีหมายเลขดำที่ อท.133/2566 คดีหมายเลขแดงที่ อท.125/2567 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ที่ศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว
พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 7 ได้ยื่นคำร้องขอฝากขัง ผู้ถูกกล่าวหา ครั้งที่ 1 มีกำหนด 12 วัน นับตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2568 ถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2568 เนื่องจากมีเอกสารจำนวนมากที่ผู้ร้องจะต้องพิจารณา เช่น เอกสารการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อการบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้วัดจำนวน 65 วัด ผู้ร้องจึงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบและเรียบเรียงฟ้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามข้อเท็จจริง และต้องใช้เวลาในการคัดแยกและรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบการฟ้องคดีเป็นชุดใหม่
อีกทั้งภายหลังจับกุมตัวผู้ถูกกล่าวหามาแล้วผู้ร้องต้องตรวจสอบว่าความผิดฐานใดที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกล่าวหาขาดอายุความบ้างหรือไม่ ซึ่งจะต้องพิจารณาเป็นรายกรรม หากมีความผิดฐานใดที่ขาดอายุความ หรือมีข้อเท็จจริงใดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อำนาจในการพิจารณาเป็นอำนาจของอัยการสูงสุด จึงต้องเสนอสำนวนตามลำดับชั้นถึงอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาอีกครั้งก่อนยื่นฟ้องคดี เป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่สามารถยื่นฟ้องคดีต่อศาลได้ทันภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
พนักงานอัยการ ผู้ร้อง ขอคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดในลักษณะนี้ในอีกหลายคดี คดีมีอัตราโทษสูงและจำนวนเงินที่ผู้ถูกกล่าวหากับพวกร่วมกันเบียดบังเงินของรัฐไปเป็นของตนเป็นจำนวนมาก โดยมูลค่าความเสียหายเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาสามารถใช้เงินดังกล่าวเป็นทุนทรัพย์ในการหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น เพื่อให้หลุดพ้นจากถูกการดำเนินคดี พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ประกอบกับภายหลังก่อเหตุผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์หลบหนีไปยังสหรัฐอเมริกา ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐติดตามตัวผู้ถูกกล่าวมาดำเนินคดีได้โดยยากและเป็นบุคคลที่ได้มีการร้องขอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนของทางการไทยกลับมายังประเทศไทยเพื่อนำมาดำเนินคดี หากปล่อยตัวไปเกรงว่าผู้ถูกกล่าวหาจะหลบหนีอีก
ศาลไต่สวนแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาตามคำร้องมีกำหนด 12 วัน นับแต่วันนี้ (29 กันยายน 2568) และอนุญาตให้สอบถามผู้ต้องหาและทำการไต่สวนพยานหลักฐานในลักษณะการประชุมทางจอภาพในการฝากขังครั้งต่อไปได้ หมายขังผู้ต้องหา โดยไม่มีญาติหรือบุคคลอื่นใดยื่นขอประกันตัว