วันที่ 27 มิถุนายน 2568 เวลา 12:11 น.
ปราบ “ลวงเปิดบัตร หลอกเอารหัส OTP ซื้อทอง” พบผู้เสียหายทั่วประเทศกว่า 394 ราย ความเสียหายรวมกว่า 20 ล้านบาท
วันนี้(27มิ.ย68) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) แถลงจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ฐาน ร่วมฉ้อโกงประชาชน โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนอันมิใช่ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา และร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ” พร้อมตรวจยึดของกลาง จำนวน 53 รายการ
1) รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น C200 Coupe AMG สีแดง
2) โทรศัพท์มือถือ จำนวน 23 เครื่อง
3) คอมพิวเตอร์และโน๊ตบุ๊ก จำนวน 6 เครื่อง
4) เครื่องนับธนบัตร จำนวน 1 เครื่อง
5) แผ่นทองคำแท่ง จำนวน 2 แผ่น
6) ซิมการ์ด/สมุดบัญชีและอุปกรณ์อื่นๆ อีก 20 รายการ
โดยจับกุมได้ที่ห้องพักในคอนโด ซอยสุขุมวิท 24 เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร และ จ.ลพบุรี
พฤติการณ์ ด้วยเมื่อประมาณเดือน ก.พ.2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบของธนาคารกรุงไทย แจ้งว่ามีกรณีที่ลูกค้าของธนาคารกรุงไทยหลายรายซึ่งมีความสนใจสมัครบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ได้ถูกคนร้ายหลอกลวงให้สมัครบัตรผ่านช่องทางออนไลน์ โดยคนร้ายแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร สามารถดันเคสได้ อ้างว่ารายได้น้อยก็สามารถสมัครได้ ไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงแค่ให้ลูกค้านั้นประเมินให้คะแนนความพึงพอใจในระดับดีมาก เมื่อลูกค้าหลงเชื่อทำตามขั้นตอนและสมัครบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ายอดเงินในบัตรได้ถูกรูดซื้อสินค้าผ่านร้านค้าออนไลน์ในทันที โดยที่ลูกค้าไม่ได้เป็นผู้ทำรายการ
หลังรับข้อมูล ชุดสืบสวนของ กก.5 บก.ป. ได้สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า เป็นการกระทำผิดในรูปแบบกลุ่มเครือข่าย ลักษณะเป็นกลุ่มแก๊งขบวนการคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงประชาชนทั่วประเทศเป็นจำนวนหลายราย จึงได้รวบรวมหลักฐานนำไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 3 ราย
ในวันที่ 17 มิ.ย.2568 จึงได้เปิดปฏิบัติการเข้าจับกุมกลุ่มผู้ต้องหา และตรวจค้นสถานที่ที่เกี่ยวข้องจำนวน 4 จุด ในพื้นที่ 3 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร, ลพบุรี,ปทุมธานี สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้ง 3 ราย และตรวจยึดของกลางที่ใช้การกระทำผิดและทรัพย์สินมีค่าที่เชื่อว่าได้จากการกระทำผิด รวม 53 รายการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4 ล้านบาท
จากการจับกุมและตรวจค้น ผู้ต้องหาจำนนต่อหลักฐาน ได้ให้การรับสารภาพ โดยสามารถสรุปแผนประทุษกรรมในการหลอกลวง เริ่มต้นจากที่ผู้ต้องหาจะติดต่อหาซื้อเพจเฟซบุ๊กที่มียอดผู้ติดตามสูง ตามกลุ่มไลน์หรือเพจเฟซบุ๊กสายเทา เพื่อนำเพจเฟซบุ๊กที่สั่งซื้อมา มาปรับเปลี่ยน ปรับแต่ง ลงรูปของทางธนาคาร ใบโฆษณา ข้อความประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเปิดบัตรเครดิตหรือเดบิต ให้น่าเชื่อถือ น่าสนใจ และตั้งชื่อเพจ อาทิ “สินเชื่อ" ต่างๆ โดยผู้ต้องหามีเพจเฟซบุ๊กลักษณะดังกล่าวมากกว่า 10 เพจ จากนั้นผู้ต้องหาจะยิงแอดเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวทุกวัน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ปรากฏในสายตาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ขยายการมองเห็นของกลุ่มเป้าหมาย เมื่อผู้เสียหายพบเห็นและสนใจกดเข้ามาที่เพจของผู้ต้องหา จะมีการสนทนากันผ่านทางข้อความ จากนั้นผู้ต้องหาจะเริ่มแนะนำตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารโดยแอบอ้างชื่อ-สกุลของเจ้าหน้าที่ธนาคารตัวจริง พร้อมส่งภาพนามบัตรให้ผู้เสียหายดูจนเกิดความหลงเชื่อ จากนั้นจะพูดคุยโน้มน้าวให้ผู้เสียหายสนใจสมัครบัตร โดยสอบถามอาชีพ รายได้ วงเงินที่ผู้เสียหายต้องการใช้ และอ้างว่าสามารถดันเคสให้ได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงแค่ให้ลูกค้านั้นประเมินให้คะแนนความพึงพอใจในระดับดีมาก พร้อมขอหมายเลขโทรศัพท์เพื่อติดต่อกลับ โดยอ้างว่าจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมและจะสอนขั้นตอนการสมัครเปิดบัตร ซึ่งในส่วนของวิธีการสมัครบัตรของผู้เสียหายนั้น ผู้ต้องหาจะให้ผู้เสียหายใช้โทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งวิดีโอคอลทางไลน์กับผู้ต้องหา โดยผู้ต้องหาจะปิดกล้องฝั่งตนเอง แต่จะให้ผู้เสียหายเปิดกล้องถ่ายไปที่หน้าจอโทรศัพท์เครื่องที่มีแอปพลิเคชันธนาคาร โดยจะให้ผู้เสียหายทำตามขั้นตอนการสมัครในแอปพลิเคชันธนาคาร ซึ่งในขั้นตอนนี้ฝั่งผู้ต้องหาจะใช้คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กในการวิดีโอคอลและบันทึกวิดีโอและภาพหน้าจอไว้โดยตลอด ทำให้ผู้ต้องหาเห็นยอดเงินที่มีอยู่ในบัญชีของผู้เสียหาย หากผู้เสียหายรายใดมียอดเงินคงเหลือในบัญชีน้อย ผู้ต้องหาจะให้ผู้เสียหายรวบรวมเงินจากบัญชีอื่นเข้ามาที่บัญชีดังกล่าว เพื่อให้มีเงินนอนบัญชีระดับหนึ่ง โดยอ้างว่าจะทำให้ผ่านการอนุมัติง่ายขึ้น และอีก 1-2 วันผู้ต้องหาจะติดต่อไปอีกครั้ง แต่หากผู้เสียหายรายใดมีเงินอยู่ในบัญชีพอสมควร ผู้ต้องหาจะให้ผู้เสียหายทำตามขั้นตอนที่ผู้ต้องหาบอกทีละขั้นตอน ซึ่งจะเป็นการให้ผู้เสียหายเปิดบัตรเดบิต และปรับวงเงินรูดของบัตรสูงสุดเป็นหลักแสนบาท เมื่อผู้เสียหายสมัครบัตรเป็นที่เรียบร้อย ในเวลาเดียวกันนั้นผู้ต้องหาซึ่งบันทึกภาพหน้าจอขณะวิดีโอคอลไว้ตลอด จะนำเลข 16 หลักของบัตรเดบิต , รหัส CVV , วันหมดอายุบัตร ไปทำการสั่งซื้อของมีค่าผ่านแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ โดยเมื่อมีรหัส OTP แจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย ผู้ต้องหาจะหลอกเอารหัส OTP ดังกล่าวมากรอกและสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ทำให้ยอดเงินในบัตรเดบิตของผู้เสียหายจะถูกตัดไปชำระค่าสินค้าที่ผู้ต้องหาสั่งซื้อในทันที จากนั้นผู้ต้องหาจะวางสายสนทนาและบล็อคช่องทางการติดต่อทันที หลังจากที่ผู้ต้องหาสั่งซื้อของมีค่า เช่น ทองคำ ของแบรนด์เนม ผ่านแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ โดยมีการตัดยอดบัตรของผู้เสียหายไปแล้วนั้น ผู้ต้องหาจะให้ทางร้านค้าจัดส่งของไปยังสถานที่ที่ผู้ต้องหาไม่ได้อาศัยอยู่จริง โดยจะให้จัดส่งไปคอนโดต่างๆ ที่นิติบุคคลส่วนกลางไม่ค่อยเข้มงวดเรื่องการรับพัสดุ เช่น มีจุดวางกองรวมพัสดุ จากนั้นจะใช้บริการพนักงานขนส่ง (ไรเดอร์) ให้ไปรับของ และไปส่งตามจุดต่างๆ อีกทอดหนึ่ง ซึ่งภายหลังที่ผู้ต้องหาได้ของมีค่า หรือทองคำ มาแล้ว ผู้ต้องหาจะนำมาขายแปลงสภาพเป็นเงิน และนำมาใช้จ่าย เที่ยวเตร่ ซื้อทรัพย์สินมีค่า
จากการตรวจค้นและซักถาม พบว่าผู้ต้องหาใช้ชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ฟุ่มเฟือย ไม่ประกอบอาชีพอื่นใดนอกจากหลอกลวงประชาชนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ต้องหามีการใช้รถยนต์หรูโดยซื้อด้วยเงินสด และชุดสืบสวนยังขยายผลพบข้อมูลในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้ต้องหา เป็นคลิปวิดีโอการบันทึกภาพหน้าจอขณะหลอกผู้เสียหายทั่วประเทศและภาพข้อมูลบัตรของผู้เสียหาย รวมเกือบ 400 ราย ในช่วงตั้งแต่กลางปี พ.ศ.2566 ถึง ปัจจุบัน หลังจับกุมและแจ้งจ้อกา จากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานและจะรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานระบบของผู้ใช้ การเรียกดูเว็บไซต์ของเราในหน้าต่างๆ กรุณายอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา
อ่านเพิ่มเติมยอมรับ