หน้าแรก > สังคม

24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 20 มิถุนายน 2568

วันที่ 21 มิถุนายน 2568 เวลา 05:59 น.


24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 20 มิถุนายน 2568

>> ช้างป่าเขาอ่างฤาไน ทำร้ายชาวบ้านเสียชีวิต

07.00 น. นายก้องเกียรติ เต็มตำนาน ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งเหตุช้างป่าทำร้ายชาวบ้านเสียชีวิต ที่หมู่ 9 ตำบลพระเพลิง อำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว

ผู้เสียชีวิตคือ นายจูมคำ อายุ 61 ปี ซึ่งถูกช้างป่าทำร้ายขณะนอนเฝ้าสวนแตงกวาที่ปลูกไว้นอกหมู่บ้าน คาดว่าช้างป่า 1 ตัว ได้เข้าพังกระท่อมที่พักและทำร้ายจนเสียชีวิต เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นห่างจากแนวเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนประมาณ 1.5 กิโลเมตร

นายเอกชัย แสนดี หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ได้ลงพื้นที่เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจกับญาติผู้เสียชีวิต พร้อมมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นในการจัดงานศพจำนวน 5,000 บาท และชี้แจงแนวทางการเยียวยาผู้เสียชีวิตจากสัตว์ป่า เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า ในระหว่างเกิดเหตุการณ์ ชุดเคลื่อนที่เร็วของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนได้ปฏิบัติภารกิจเฝ้าระวังและผลักดันช้างป่าในบริเวณใกล้เคียงตามที่ได้รับแจ้งจากประชาชน เพื่อป้องกันช้างป่าออกนอกพื้นที่


>> คนร้ายลอบวางระเบิด จนท.ตำรวจ หน่วยเฉพาะกิจตำรวจนราธิวาส 9322 บาดเจ็บ 3 นาย

07.20 น. ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือเยียวยาฯ จังหวัดนราธิวาส ได้รับรายงานว่า มีคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวน ลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจ หมวดเฉพาะกิจตำรวจนราธิวาส 9322 (ฐานโคกคำมูล) เหตุเกิดบริเวณข้างฐาน ในพื้นที่ ม.2 บ้านบือแนแล ต.มะนังตายอ อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 ราย นำผู้ได้รับบาดเจ็บส่ง รพ.นราธิวาสราชนครินทร์

ภายหลังเกิดเหตุ ว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้มอบหมาย นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส (ด้านความมั่นคง) พร้อมด้วย นายรุสดี ปูรียา นายอำเภอเมือง และ ว่าที่ ร.ท. สรรพศิริ ศิริสวัสดิ์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือเยียวยาฯ จังหวัดนราธิวาส ลงดูแล ติดตามอาการผู้ได้รับบาดเจ็บ เพื่อให้การช่วยเหลือเบื้องต้น หากมีรายละเอียดเพิ่มเติมจะรายงานให้ทราบต่อไป


>> นายกฯ กำชับผู้ว่าฯ ชายแดน 7 จังหวัด ดูแลประชาชนตามแผน “พิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง” ย้ำเตรียมพร้อมรับมือทุกมิติ

09.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย พร้อมรับฟังรายงานจากผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนทั้ง 7 จังหวัด ถึงแนวทางแก้ไขปัญหาและดูแลสถานการณ์บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

นายกฯ สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกองทัพ ตรวจสอบความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันที ยืนยันว่ารัฐบาลยังยึดมั่นในหลักการสันติวิธี แต่หากเกิดสุดวิสัย ก็ต้องรักษาความปลอดภัยให้กับทหารแนวหน้าและประชาชน

พร้อมกำชับผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนทั้ง 7 จังหวัด ดูแลประชาชนตามแผน “พิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง” เน้นตรวจสอบหลุมหลบภัย แผนเผชิญเหตุ มาตรการรักษาความปลอดภัย เตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเน้นย้ำการรับมือข่าวปลอม โดยสั่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ติดตาม ตรวจสอบ แก้ไขข้อมูลข่าวสารที่ผิด และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชนอย่างรวดเร็ว 
ในช่วงท้าย นายกฯ แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของทุกหน่วยงาน ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันทำงานอย่างเข้มแข็ง รัฐบาลพร้อมสนับสนุนในทุกมิติ ขอให้ทุกกระทรวงยึดเป้าหมายสำคัญในการดูแลพี่น้องประชาชน


>> ผนึก อย. ทลาย 5 โรงงานเถื่อน ผลิตยาแก้ไอปลอม 4x100 ยึดของกลางกว่า 9 หมื่นขวด มูลค่า 20 กว่าล้าน

10.00 น. ที่ กองบังคับการปราบปราม พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุปผาสุวรรณ ผบก.ปคบ. ร่วมกับ อย. และกระทรวงสาธารณสุข แถลงผลจับกุมเครือข่ายผลิตยาแก้ไอปลอมในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ สมุทรปราการ สระบุรี นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา รวม 5 จุด พร้อมยึดของกลางกว่า 92,100 ขวด เครื่องจักร และอุปกรณ์การผลิต รวมมูลค่ากว่า 22 ล้านบาท

การสืบสวนเริ่มจากการพบการลักลอบจำหน่ายยาแก้ไอปลอมใน กทม. และปริมณฑลเมื่อเดือน พ.ค. ก่อนขยายผลสู่แหล่งผลิต พบว่ากลุ่มผู้กระทำผิดใช้แรงงานต่างชาติผลิตยาเถื่อนแบบเร่ร่อน เปลี่ยนจุดผลิตทุก 2-3 เดือนเพื่อหลบเลี่ยงการจับกุม

ตรวจสอบพบยาแก้ไอปลอมหลายยี่ห้อ รวมถึงขวดเปล่า สติ๊กเกอร์ปลอม น้ำหวานกลิ่นราสเบอร์รี่ และวัตถุดิบอื่นๆ โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 ราย เบื้องต้นพบว่าเป็นเครือข่ายเดิมที่เคยถูกตรวจค้นใน สมุทรสาคร นครปฐม และนนทบุรี เมื่อเดือน ส.ค. 67, ม.ค. และ เม.ย. 68 แต่ยังคงกลับมากระทำผิดซ้ำ


>> ไฟไหม้โรงงานเฟอร์นิเจอร์ระยอง บาดเจ็บ 2 พนักงานสุดช้ำ เงินสด-ทองคำในล็อกเกอร์ ถูกไฟเผาวอด

10.30 น. สภ.วังจันทร์ รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้โรงงานเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังแห่งหนึ่งในพื้นที่หมู่ 3 ต.วังจันทร์ อ.วังจันทร์ จ.ระยอง

ที่เกิดเหตุเป็นโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ขนาดใหญ่ พบเพลิงลุกไหม้อย่างรุนแรงจากบริเวณห้องผสมสี มีเสียงระเบิดดังเป็นระยะ คนงานแตกตื่นวิ่งหนีตายออกจากอาคารกันอย่างชุลมุน เจ้าหน้าที่ระดมฉีดน้ำนานกว่า 1 ชั่วโมงจึงควบคุมเพลิงไว้ได้ เบื้องต้นอาคารถูกไฟไหม้วอดเสียหายทั้งหลัง เครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตถูกเผาพังราบ กำลังอยู่ระหว่างประเมินมูลค่าความเสียหาย คาดว่าไม่ต่ำกว่าหลายล้านบาท

สอบถามพนักงานรายหนึ่ง เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุมีการผสมสีพ่นไม้ โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากวนสี ขณะเปิดใช้งานเกิดประกายไฟขึ้น คาดว่ามาจากมอเตอร์จุดระเบิดติดไอระเหยสารไวไฟที่อยู่ใกล้ จนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นและไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว แม้พนักงานจะพยายามใช้ถังดับเพลิงสกัดแต่ไม่เป็นผล จึงรีบพากันวิ่งหนีตายออกมา

เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ได้แก่ พนักงานชายซึ่งสำลักควันและถูกไฟลวกเล็กน้อย และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ได้รับบาดเจ็บขณะปฏิบัติหน้าที่ ทั้งคู่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลวังจันทร์ ขณะนี้อยู่ในความดูแลของแพทย์

ร.ต.อ.ชนัตพล เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง เบื้องต้นคาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือประกายไฟจากมอเตอร์ผสมสี ประกอบกับภายในมีสารเคมีไวไฟจำนวนมาก จึงทำให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยจะประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง.


>> ผบช.ภ.2 เช็กความพร้อม ยุทโธปกรณ์ ตำรวจสระแก้ว เติมขวัญกำลังใจ พร้อมระวังป้องกันภัยพื้นที่อ่อนไหว

11.00 น. พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) เดินทางลงพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีชายแดนติดต่อประเทศกัมพูชา ตรวจเยี่ยมกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว (กก.สส.ภ.จว.สระแก้ว) และสถานีตำรวจที่มีพื้นที่ติดต่อแนวชายแดน เร่งรัดการสืบสวนสอบสวนปราบปรามอาชญากรรม แนวชายแดน ตรวจความพร้อมของกำลังพลในการสนับสนุนการปฏิบัติแนวชายแดน กำชับการปฏิบัติ พร้อมรับฟังปัญหาอุปสรรคเพื่อแก้ไขให้การปฏิบัติภารกิจดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

“วันนี้เดินทางลงพื้นที่ตรวจความพร้อมของกำลังพล ยุทโธปกรณ์ในการป้องกันภัยอาชญากรรมในเขตพื้นที่ จว.สระแก้ว และตรวจความพร้อมในการระวังป้องกันพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางด้านความมั่นคง พื้นที่รอยต่อชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน และได้ตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจตามแนวชายแดน เพื่อบำรุงขวัญ ให้กำลังใจตำรวจทุกนายให้มีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน” ผบช.ภ.2 กล่าว

ผบช.ภ. 2 กล่าวด้วยว่า จากสถานการณ์ข้อพิพาทแนวชายแดน ตำรวจรับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อย ดูแลประชาชนในพื้นที่ส่วนหลัง จึงตรวจสอบความพร้อมของกำลังพล และอุปกรณ์ในการเฝ้าระวังและพร้อมปฏิบัติในสถานการณ์ชายแดน ซักถามปัญหาข้อขัดข้อง เพื่อเร่งดำเนินการแก้ไข ให้กำลังใจกำลังพล โดยจากการตรวจเยี่ยมวันนี้ชมเชยในความพร้อมของกำลังพลทุกด้าน รวมถึงกำลังใจดี พร้อมปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชน


>> “รวบทนายเก๊ ตระเวนว่าความทิพย์” พบมีคดีติดตัวกว่า 30 คดี ความเสียหายรวมหลายล้าน

12.32 น. ผู้สื่อข่าวรายงาน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกันจับกุม นายกอ (นามสมมุติ) อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดศรีสะเกษ ฐาน “ฉ้อโกง” โดยจับกุมได้ บริเวณหน้าบ้าน ซอยพระยามนธาตุราชศรีพิจิตร์ เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร โดยผู้ต้องหารายนี้มีหมายจับถึง 7 หมายส่วนใหญ่เป็นคดีฉ้อโกง

สืบเนื่องจากเมื่อปี 2567 มีผู้เสียหายจำนวนมากทยอยเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังถูกชายรายหนึ่งแอบอ้างตัวว่าเป็นทนายความ มีสำนักงานตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยอวดอ้างว่าตนได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความอย่างถูกต้อง สามารถว่าความในชั้นศาลได้ และรับทำคดีทั้งแพ่งและอาญาให้กับผู้เสียหาย แต่ความจริงกลับปรากฏว่า ชายคนดังกล่าวไม่ใช่ทนายความ ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และไม่ได้มีความรู้ทางกฎหมายแต่อย่างใด ทั้งยังใช้กลอุบายสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนจะหลอกให้เหยื่อหลายรายจ่ายเงินค่าดำเนินคดี “ว่าความทิพย์” รายละ 200,000 – 500,000 บาท จากนั้นก็หายตัวไป ไม่ดำเนินการใด ๆ ให้ตามที่ตกลงไว้ ผู้ต้องหามีพฤติการณ์ก่อเหตุลักษณะเดิมซ้ำ ๆ หลอกเหยื่อที่กำลังเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือทางกฎหมาย โดยอาศัยช่องว่างของระบบยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการหลอกลวง

ภายหลังการจับกุม มีชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษซึ่งเคยถูกหลอกลวงทยอยเข้าแจ้งความเพิ่มเติมแล้วกว่า 30 ราย โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการแจ้งสิทธิตามกฎหมายให้ผู้ต้องหาทราบ ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง แต่ให้การปฎิเสธตลอดข้อกล่าวหา จากนั้นนำตัวผู้ต้องหาส่งศาลจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


>> แม่ทัพภาค 4 เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่บาดเจ็บที่โรงพยาบาล จากเหตุลอบวางระเบิดจ.นราธิวาส

13.00 น. พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง ได้แก่ นายวิชาญ ชัยเศรษฐสัมพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส, พลตำรวจตรี ณรงค์ ธนานันทกุล ผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4, พันตำรวจเอก สมชาย ศรีศรยุทธ์ รองผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 และนายรุสดี ปูรียา นายอำเภอเมืองนราธิวาส ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ตำบลบางนาค อำเภอเมืองนราธิวาส เพื่อเข้าเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเคลื่อนที่เร็ว หมวดเฉพาะกิจตำรวจนราธิวาส 9322 ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิด

โดยมีว่าที่พันตำรวจเอก ธัญ ศิริขันธ์ ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส และผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจตำรวจนราธิวาส 93, พันตำรวจโท สุเทพ สังวรกิตติวุฒิ รองผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดน 42 และรองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจตำรวจนราธิวาส 93, รวมถึงร้อยตำรวจโท เกษม อรุณเมฆ ผู้บังคับหมวดเฉพาะกิจตำรวจนราธิวาส 9322 ร่วมให้การต้อนรับคณะ

โดยการเยี่ยมเยียนในครั้งนี้ เพื่อแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้


>> นายกฯ ขอบคุณกองทัพที่ปกป้องประชาชนและประเทศชาติ ย้ำรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่เพื่อรักษาอธิปไตยไทย

13.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบถุงยังชีพแก่ตัวแทนชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ณ อบต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ราษฎรอาสาสมัครที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการดูแลรักษาความปลอดภัย ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่

จากนั้น นายกฯ และคณะเดินทางไปยังฐานปฏิบัติการมรกต ต.โดมประดิษฐ์ เพื่อมอบสิ่งของบำรุงขวัญแก่กำลังพลกองกำลังสุรนารี โดยกล่าวชื่นชมและให้กำลังใจทหารที่ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง พร้อมขอบคุณแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้บังคับบัญชา และทหารทุกนายที่ทุ่มเททำหน้าที่ปกป้องประชาชนและประเทศชาติเสมอมา

นายกฯ เน้นย้ำว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนกองทัพเต็มที่ ทุกคนคือคนไทย แผ่นดินนี้คือแผ่นดินไทยที่ต้องช่วยกันรักษา ทหารเปรียบเสมือนรั้วของชาติ รัฐบาลต้องการให้รั้วของชาติมีสุขภาพดี ทั้งแรงกายและแรงใจ มีความสุขในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป


>> เพลิงไหม้บ้านเรือน ซอยลาดพร้าว 101 อาสาสมัครใช้ถังดับเพลิงทำการดับเพลิงสงบก่อนจะลุกลาม

14.52 น. สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน สถานที่เกิดเหตุ ซอยลาดพร้าว 101 แยก 28 ถนนลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร

ลักษณะที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยวคอนกรีต 2 ชั้น ใช้เป็นที่พักอาศัย ต้นเพลิงเกิดขึ้นที่ชั้นล่าง เพลิงลุกไหม้เสียหายแบตเตอรี่ ลุกลาม วงกบประตู หน้าต่าง ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า พื้นที่เพลิงไหม้เสียหายโดยประมาณ 3 ตารางเมตร อาสาสมัครใช้ถังดับเพลิงทำการดับเพลิงสงบ ก่อนรถดับเพลิงถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงทำการระบายควัน

ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นสาเหตุเพลิงไหม้เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรที่แบตเตอรี่แผงโซล่าเซลล์ ที่เกิดเหตุมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 1 ราย เป็นเพศชาย ได้รับบาดเจ็บถูกไฟลวกบริเวณแขน และเท้าขวา อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลลาดพร้าว พื้นที่รับผิดชอบของสถานีดับเพลิงและกู้ภัยหัวหมาก


>> ต้นหางนกยูง ล้มทับกลางหลังคารถกระบะ ที่ขับผ่านทางพอดี มีผู้โดยสารบาดเจ็บ 2 ราย ส่วนคนขับเสียชีวิต

16.00 น. ตำรวจหน่วยบริการประชาชนท่ากูบ ต.วัดประดู่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี รับแจ้งเหตุต้นไม้ล้มทับรถกระบะ บนถนนซอยโกเตง หมู่ที่ 8 ต.วัดประดู่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี มีผู้บาดเจ็บหลายรายติดอยู่ในรถ จึงประสานกู้ภัยมูลนิธิกุศลศรัทธาสุราษฎร์ธานี นำอุปกรณ์ตัดถ่างไปช่วยเหลือ

ที่เกิดเหตุพบรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีทอง ป้ายทะเบียน สุราษฎร์ธานี สภาพถูกต้นหางนกยูงต้นใหญ่ล้มทับกลางหลังคาห้องโดยสารของรถจนหลังคายุบฉีกขาดเสียหายมาก และต้นไม้ยังทับคนขับรถกับผู้โดยสาร ทั้งหมด 3 คนติดคาที่นั่งในรถได้รับบาดเจ็บ ประกอบด้วย ชายไทย อายุ 32 ปี ชาว อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี คนขับอาการสาหัส ไม่รู้สึกตัว ,ชายไทย อายุ 77 ปี มีบาดแผลฉีกที่มือซ้าย และหญิงไทยอายุ 65 ปี มีบาดแผลถลอกตามร่างกาย ทั้งหมดนำส่งโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และรับแจ้งว่า คนขับรถ ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา

สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ระหว่างที่ รถกระบะคันดังกล่าวถึงที่เกิดเหตุ จู่ๆต้นหางนกยูงต้นใหญ่ที่อยู่ริมถนนโค่นล้มลงมาฟาดทับกลางหลังคารถกระบะพอดี ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงอยู่ระหว่างสอบสวนของตำรวจ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี


>> ตำรวจทางหลวง จับกุมหนุ่มพกปืนลูกกรดไร้ทะเบียน พร้อมยาบ้า

16.48 น. ผู้สื่อข่าวรายงาน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการตำรวจทางหลวง ร่วมกันจับกุม นายสอ (นามสมมุติ) อายุ 35 ปี ฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย,เสพยา, เป็นผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย ,มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ,พาอาวุธปืนและเครื่องกระสุน ไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน พร้อมตรวจยึดของกลาง ยาบ้า 3 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส,อาวุธปืนยาวลูกกรด ขนาด .22 มม. 1 กระบอก ,เครื่องกระสุนปืน ขนาด 22 มม. 31 นัด โดยจับกุมได้บริเวณริมถนน ทล.401 (ขาออกเมือง) ในพื้นที่อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี

โดยระหว่างตำรวจทางหลวงสุราษฎร์ธานี ออกตรวจพื้นที่พบรถกระบะ (ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนหน้า) โดยมี นายสอ เป็นผู้ขับขี่ ได้ขับขี่ย้อนศรมา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ให้สัญญาณหยุดรถ เพื่อจะได้ออกใบสั่งและว่ากล่าวตักเตือน ระหว่างพูดคุยนายสอ มีลักษณะอาการลุกลี้ลุกลน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ขอทำการตรวจค้นตัวและรถ ผลการตรวจค้นภายในรถพบ อาวุธปืนยาวลูกกรด และ ยาบ้าจำนวน 3 เม็ด

เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงฯ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา จากนั้นนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อดำเนินคดี ซึ่งจากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้นให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา


>> 2 หนุ่มขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์เสียหลักพลิกคว่ำ บาดเจ็บสาหัส ก่อนไปเสียชีวิตที่ รพ.ด้วยกันทั้งคู่

18.46 น. รับแจ้งจาก กู้ชีพขลุงมูลนิธิ พ้งไล้เกาะ 2ว่ามีอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พลิกคว่ำ และมีผู้บาดเจ็บ 2 รายมีอาการสาหัส บนถนนสุขุมวิท (ทางหลวงหมายเลข 3) บริเวณสะพานคลองสองห้อง ก่อนถึงโรงเรียนขลุงรัชดา ในพื้นที่ อ.ขลุง จ.จันทบุรี

ที่เกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า ลีด สีเทา ทะเบียนป้ายแดง สภ.เมืองตราด สภาพล้มคว่ำพังเสียหาย และพบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ เป็นผู้ชาย 2 ราย อายุประมาณ 20 ปี มีอาการสาหัส ทางเจ้าหน้าที่กู้ชีพเร่งให้การช่วยเหลือ ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลคลองขลุง และได้รับแจ้งว่าเสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วยกันทั้งคู่ ส่วนของสาเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ขลุง


>> รถจักรยานยนต์ถูกรถไม่ทราบชนิดเฉี่ยวชน หญิงวัย 50 ปีเจ็บสาหัส ก่อนไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

19.26 น. หน่วยกู้ภัยสยามท่าศาลา ได้รับแจ้งมีอุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์ชนกับรถไม่ทราบคู่กรณี และมีผู้บาดเจ็บสาหัส บนถนนหมายเลข 3024 บริเวณบ้านทุ่งเกราะ ม.4 ต.โมคลาน อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช

ที่เกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า สีน้ำเงิน สภาพรถพังเสียหลักอยู่ที่ข้างทาง ลักษณะถูกรถไม่ทราบชนิดชนแล้วหลบหนี ที่เกิดเหตุพบผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย อาการสาหัสและหมดสติ ทางอาสาสมัครเร่งทำการปั๊มหัวใจ และมอบให้รถกู้ชีพดำเนินการนำส่ง รพ.ท่าศาลา และได้รับแจ้งว่า เสียชีวิตในเวลาต่อมา เป็นผู้หญิง อายุประมาณ 50 ปี ในส่วนของสาเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าศาลา


>> แผ่นดินไหว ที่ประเทศเวียดนาม

20.40 น. กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 4.0 ความลึก 10 กม. ภายในพื้นที่ของประเทศเวียดนาม ศูนย์กลางห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ประมาณ 321 กม. ไม่มีรายงานผลกระทบต่อประเทศไทย


>> ชาวบ้านพบรถจักรยานยนต์ล้มคว่ำข้างทาง คนเจ็บนอนคว่ำในท้องนา รีบแจ้งกู้ภัย สุดท้ายยื้อชีวิตไม่เป็นผล จ.พิษณุโลก

21.30 น. ศูนย์วิทยุหน่วยกู้ภัยพิษณุโลก มูลนิธิประสาทบุญสถาน รับแจ้งมี อบัติเหตุรถจักรยานยนต์เสียหลักตกข้างทาง ที่ริมถนนบ้านสะอัก หมู่.6 ต.ดอนทอง จ.พิษณุโลก

โดยที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า เอ็มเอสเอ็กซ์ สีเหลือง - ดำ ไม่ติดป้ายทะเบียน ตกข้างทางจมโคนอยู่ในท้องนา กู้ภัยพิษณุโลกตรวจสอบพบผู้ได้รับบาดเจ็บชาย 1 ราย นอนคว่ำหน้าอยู่ในท้องนา หมดสติปลุกไม่ตื่น ไม่พบสัญญาณชีพ เจ้าหน้าที่เริ่มทำการ CPR พร้อมประสานขอทีมกู้ชีพสนับสนุนที่เกิดเหตุ

โดยทีมกู้ชีพ รพ.ค่ายสมเด็จฯ ได้เข้าสนับสนุนช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ นำส่งรักษาที่โรงพยาบาลพุทธชินราช ภายหลังทราบว่าเสียชีวิตในเวลาต่อมา เป็นชายไทย อายุ 29 ปี

เบื้องต้นภรรยาผู้บาดเจ็บแจ้งว่าผู้บาดเจ็บขับขี่รถออกมาซื้อของตั้งแต่ช่วง 20.00 น. แต่หายออกไปนานมากโทรตามก็ไม่รับ จนมีชาวบ้านมาแจ้งว่าพบแฟนประสบอุบัติเหตุระหว่างทางกลับบ้าน จึงรีบมาดูที่เกิดเหตุ


>> แผ่นดินไหว ที่เมืองแม่ฮ่องสอน

21.59 น. กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 1.4 ความลึก 1 กม. ภายในพื้นที่ของ ต.ห้วยผา อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน ไม่มีรายงานการรับรู้แรงสั่นสะเทือน 
 

>> แผ่นดินไหว 2 ครั้งซ้อน ที่เมืองลี้ จังหวัดลำพูน

04.54 น. กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งเหตุ แผ่นดินไหว ขนาด 2.3 ความลึก 1 กม. ภายในพื้นที่ของ ต.แม่ตืน อ.ลี้ จ.ลำพูน(17.99°N,98.94°E)

และเวลา 05.06 น. กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งเหตุ แผ่นดินไหว ขนาด 1.7 ความลึก 1 กม. ภายในพื้นที่ของ ต.แม่ตืน อ.ลี้ จ.ลำพูน (17.99°N,98.93°E) การสั่นไหวทั้ง 2 ครั้ง ยังไม่มีรายงานการรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน 

 
>> หนุ่มขับรถนั่งส่วนบุคคลชนกับรถบรรทุก กลางถนนกาญจนาภิเษก เสียชีวิตร่างติดค้างภายในยานพาหนะ

05.00 น. รับแจ้งว่า มีอุบัติเหตุ รถนั่งส่วนบุคคลชนกับรถบรรทุก พบว่ามีผู้เสียชีวิต 1 คน สภาพติดค้างภายในยานพาหนะ ถนนกาญจนาภิเษก มาจากฝั่งถนนบรมราชชนนี มุ่งหน้าถนนเพชรเกษม บนสะพานข้ามคลองบางพรม ในช่องทางคู่ขนาน 

ที่เกิดเหตุ พบรถนั่งส่วนบุคคล เอ็มจี สีเทา ป้ายทะเบียน กทม. ลักษณะชนกับรถบรรทุก ฮีโน่ สีฟ้า ตรวจสอบพบว่ามีผู้เสียชีวิต เป็นผู้ชาย 1 ราย สภาพร่างยังติดค้างภายในยานพาหนะฝั่งของคนขับรถเก๋ง อาสาสมัคร ม.ป่อเต็กตึ๊ง กำลังใช้เครื่องมือตัดถ่างเพื่อนำร่างออกมา 
 

ข่าวยอดนิยม


เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานและจะรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานระบบของผู้ใช้ การเรียกดูเว็บไซต์ของเราในหน้าต่างๆ กรุณายอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา

อ่านเพิ่มเติมยอมรับ