วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมเตรียมเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ในเร็วๆ นี้ ให้พิจารณามาตรการดูแลข้าวเปลือกนาปี ฤดูการผลิตปี 2568/69 ที่คาดผลผลิตจะออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 เป็นต้นไป โดยจะมีทั้งหมด 4 มาตรการ และงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการทั้งหมด

สำหรับ 4 มาตรการ ได้แก่

1.สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เพื่อให้เกษตรกรเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางรอการขายในช่วงที่ผลผลิตออกน้อย จะได้ขายได้ราคาสูง

2.มาตรการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร

3.ชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก เพื่อรอการขาย

4.จัดตลาดนัดข้าวเปลือก รวมถึงจะเสนอให้พิจารณามาตรการลดต้นทุนให้เกษตรกร เช่น ปุ๋ยราคาถูก และหาก นบข.เห็นชอบ ก็จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติต่อไป

ส่วนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังปี 2568 ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ จากปัญหาราคาข้าวเปลือกนาปรังตกต่ำนั้น ที่ประชุม นบข. ได้มีมติให้คณะอนุกรรมการ นบข.ด้านการผลิต ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน พิจารณาหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ ภายหลังจากที่กรมส่งเสริมการเกษตร เปิดให้ลงทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังปี 2568 เสร็จสิ้นไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2568

อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวอีกว่า ส่วนจะใช้งบประมาณเท่าไร อยู่ที่จำนวนเกษตรกรที่ลงทะเบียน โดยล่าสุด ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 มีเกษตรกรลงทะเบียนแล้ว 842,810 ครัวเรือน คิดเป็นพื้นที่ 11.74 ล้านไร่ และคิดเป็นปริมาณผลผลิต 7.68 ล้านตันข้าวเปลือก ขณะที่ราคาข้าวเปลือกในประเทศล่าสุด ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 7,800 บาท ทรงตัวจากเดือนก่อน แต่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่อยู่ที่ตันละ 12,000 ตัน

ทั้งนี้ คาดการณ์มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังปี 2568 ขึ้นทะเบียนประมาณ 400,000 ครัวเรือน ใกล้เคียงกับปี 2567 และเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2568 นบข.ได้อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณที่จะใช้ช่วยเหลือประมาณ 2,867 ล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ 4,000 ล้านบาท ที่เหลือจากโครงการการช่วยเหลือข้าวนาปี ปี 2567/68 แต่ปรากฏว่า ภายหลังจากลงทะเบียนเกษตรกรเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 30 เมาายน 2568 มีเกษตรกรลงทะเบียนสูงกว่า 840,000 ครัวเรือน ดังนั้น จึงต้องใช้งบประมาณมากขึ้น และต้องขออนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพิ่มเติม