24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 22 เมษายน 2568
>> คนร้ายลอบยิง "สามเณรที่เตรียมจะไปบิณฑบาตรมรณภาพ” ในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
06.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงาน คนร้ายใช้อาวุธปืนลอบยิงรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็ก 4 ประตู สีดำ ของ ร.ต.ท.วัฒนา ชูมาปาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ขณะขับรถมาจากรับพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 6 รูป มาเพื่อบิณฑบาตรในเขตเทศบาลสะบ้าย้อย ร.ต.ท.วัฒนาฯ ได้ใช้อาวุธปืนยาว และปืนพกสั้นยิงตอบโต้จากนั้นได้ขับรถออกจากพื้นที่เกิดเหตุ และนำผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลสะบ้าย้อย เพื่อช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วน
เบื้องต้นพบว่าสามเณร อายุ 16 ปี ที่เป็นบุตรชาย ร.ต.ท.วัฒนา มรณภาพ ส่วนสามเณรอายุ 12 ปี ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เหตุเกิดบริเวณถนนสวนโอน บ้านคลองเรียน ห่างจากวัดกูหลา ประมาณ 500 เมตร รายละเอียดเพิ่มเติมจะรายงานให้ทราบต่อไป
>> เพลิงไหม้เรือประมงกลางทะเลปากแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร
10.45 น. พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1และ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 ได้สั่งการบูรณาการให้ ศรชล./ศคท.จว.สมุทรสาคร พร้อม กำลังพลของสถานีตำรวจน้ำ 4 กก.4 บก.รน. และ กำลังพลของ สถานีเรือดับเพลิง กลุ่มงานบรรเทาสารธารณภัย เทศบาลนครสมุทรสาคร พร้อมอุปกรณ์การช่วยเหลือ ออกเรือไปกับเรือตรวจการณ์ตำรวจน้ำ 530 พร้อมเรือเจ้าท่า เข้าทำการช่วยเหลือและดับเพลิง เรือประมงที่เกิดเพลิงไหม้ กลางทะเล ปากแม่น้ำท่าจีน จังหวัดสมุทรสาคร
ศปก.ศรชล.ภาค ๑ ได้รับแจ้ง จากเจ้าของเรือ ว่าเกิดเหตุเรือไฟไหม้ ขนาดเรือ 122.26 ตันกรอส เครื่องมืออวนลากคู่ มีลูกเรือ 14 คน ได้รับการช่วยเหลือจากเรือในพื้นที่เรียบร้อย ลูกเรือปลอดภัย เมื่อเรือตรวจการณ์ตำรวจน้ำ 530 ถึงที่หมายรีบเข้าทำการช่วยเหลือและดับเพลิง แต่เนื่องจาก สภาพอากาศและคลื่นลมแรง ทำให้ควบคุมเพลิงเป็นไปได้ยากและไม่ครอบคลุมพื้นที่ตัวเรือ เจ้าของเรือจึงขอรับการสนับสนุนเรือฉีดโฟมของบริษัท PSP
ต่อมา กราบเรือเริ่มปริ่มน้ำ และเรือจมลงครึ่งลำ หัวเรือลอย ปรากฏคราบเขม่า และคราบน้ำมันเล็กน้อยบนผิวน้ำ (ทั้งนี้เนื่องจากตั้งแต่ห้วงเริ่มต้นช่วยเหลือในการดับเพลิง ลมพัดจากกราบขวาไปกราบซ้าย ควันไฟค่อนข้างหนา จึงไม่สามารถดำเนินการฉีดน้ำทางกราบซ้ายได้เต็มกำลัง จึงอาจเป็นเหตุให้กราบเรือด้านซ้ายทยอยเกิดรูรั่วแชะใหญ่ขึ้นจนน้ำเรือ และมีปริมาณมากขึ้นเมื่อคลื่นลมแรง) แจ้งเจ้าท่าประสานเจ้าของเรือต่อไป
>> คืบหน้าตึกถล่ม พบร่างเพิ่ม ยืนยันผู้เสียชีวิต 49 ราย ซากอาคารลดเหลือไม่ถึง 10 เมตร ลุยกู้ชั้น 1 สิ้นเดือนนี้
10.50 น. นายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (สปภ.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ แถลงข่าวความคืบหน้าเหตุการณ์อาคาร สตง. ถล่ม เขตจตุจักร
ผอ.สุริยชัย กล่าวว่า ขณะนี้ความสูงของซากอาคาร ในโซน A และ D อยู่ที่ 9.78 เมตร ส่วนโซน B และ C ส่วนยอดซากอาคารที่สูงที่สุดอยู่ที่ 8.58 เมตร วานนี้ (21 เม.ย.68) ได้พบร่างที่สมบูรณ์ 2 ร่าง ที่โซน C และวันนี้ยังพบอีก 2 ร่าง บริเวณช่องบันไดเดียวกับเมื่อวาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ
ส่วนการขนซากอาคารออกจากพื้นที่ วานนี้ดำเนินการอยู่ที่ 221 เที่ยว ทำให้บริเวณหน้างานมีพื้นที่เพียงพอในการปฏิบัติงานได้สะดวก ซึ่งขณะนี้มีเครื่องจักรหนักอยู่บริเวณหน้างานกำลังปฏิบัติงานทั้งสิ้น 28 ตัว สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเพื่อให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการสับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ควบคุมรถเครื่องจักรหนัก โดยมีเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร อาทิ สำนักการโยธา สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงเจ้าหน้าที่อปพร. เขตบางแคและเขตบางบอน เข้ามาเสริมด้วย ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งคาดว่าจากซากอาคารที่ลดลงทำให้ภายในสิ้นเดือนนี้จะสามารถเข้าถึงซากอาคารบริเวณชั้น 1 ได้ตามแผน
>> ตำรวจภูพิงฯ จับ 2 หนุ่มไทย ลอบขนอาวุธสงครามไปส่งให้กับชนกลุ่มน้อย
12.50 น. บริเวณจุดตรวจ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ข่วงเกษตรอินทรีย์ ถนนคันคลองชลประทาน ขาออก ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ดำเนินการควบคุมตัว ผู้ต้องหา เป็นชายไทย 2 ราย ชาว จ.แม่ฮ่องสอน
พร้อมด้วยของกลาง อาวุธปืนเล็กยาว ทรง AR ขนาด 5.56 มม. ไม่ปรากฎเลข/เครื่องหมายประจำปืน จำนวน 10 กระบอก, ซองกระสุนขนาด 5.56 มม. ขนาดบรรจุ 30 นัด จำนวน 10 ซอง และ เครื่องยิงลูกระเบิด ความกว้างปากลำกล้อง 40 มม. จำนวน 14 กระบอก
โดยพฤติการณ์ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ตั้งจุดตรวจอยู่ที่บริเวณข่วงเกษตรอินทรีย์ ถนนคันครองชลประทาน(ขาออก) พบผู้ต้องหาทั้ง 2 นี้ขับขี่รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า สีดำ ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ผ่านมาที่จุดตรวจ เจ้าหน้าที่ได้สังเกตท้ายกระบะมีกล่องขนาดใหญ่ จึงขอทำการตรวจค้น ผลการค้น พบอาวุธปืนของกลาง ซุกซ่อนอยู่ในกล่องท้ายกระบะ สอบถามผู้ต้องหาเบื้องต้นให้การยอมรับว่า รับจ้างขนอาวุธปืนจากด้านหลังห้างฯ ในพื้นที่ ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อนำไปส่งให้กับ ชนกลุ่มน้อย KNU ที่ บ.แม่สามแลบ ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน โดยได้รับค่าจ้างครั้งละ 8,000 - 9,000 บาท โดยรับเงินสดหลังเสร็จภารกิจ รับจ้างขนมาแล้ว รวมครั้งนี้ จำนวน 3 ครั้ง
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมตัวมายัง สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เพื่อซักถามขยายผลหาผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมมาดำเนินคดีต่อไป
>> ตำรวจเตรียมขอหมายจับ คนร้ายก่อเหตุทำร้ายพระบาดเจ็บสาหัส
14.00 น. นางสาวเอ (นามสมมุติ) น้องสาวพระที่ถูกชาย 2 คนรุมทำร้าย ที่วัดแห่งหนึ่งใน อ.เมืองนนทบุรี และอุ้มขึ้นรถจักรยานยนต์ไปทำร้ายซ้ำอีกครั้งที่ย่านปากเกร็ด จนได้รับบาดเจ็บสาหัส จมูกหัก กรามหัก ได้เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดจุดเกิดเหตุและเส้นทางที่คนร้ายขับขี่พาพระที่บาดเจ็บไปทำร้าย
นางสาวเอ (นามสมมุติ) กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุหลวงพี่ได้ติดต่อไปหาแม่ โดยบอกให้แม่หาเงินให้จำนวน 10,000 บาท บอกว่ามีคนมาทวงเงิน ซึ่งช่วงที่หลวงพี่ติดต่อมาขอเงินเวลาประมาณ 3 ทุ่ม แม่จึงบอกหลวงพี่ไปว่าจะไปหาที่ไหน ซึ่งหลวงพี่ก็มีอาการร้อนรน ร้องไห้ และแม่ก็หาเงินให้ไม่ได้ จากนั้นหลวงพี่ก็ไม่ได้ติดต่อกลับ คาดว่าน่าจะเกิดเหตุถูกทำร้ายตนคิดว่าน่าจะอยู่กับเจ้าหนี้ ตอนนี้หลวงพี่ผ่าตัดแล้ว โดยดึงจมูก ผ่าตัดกรามและมัดฟัน สามารถพูดได้เล็กน้อย
ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี เดินทางไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ย่านสีลม กทม. เพื่อสอบปากคำ พระรูปดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ถูกชาย 2 คน บุกมาทำร้ายที่กุฏิ ภายในวัดแห่งหนึ่ง อำเภอเมืองนนทบุรี จากนั้นอุ้มพระขึ้นรถจักรยานยนต์ไปทำร้ายอีกครั้งที่ ย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี จนได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะพาร่างที่ สะบักสะบอมมาขอความช่วยเหลือจากน้องสาว ซึ่งหลังเข้ารับการรักษา แพทย์แจ้งว่าพระได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำภาพถ่าย 1 ใน 2 คนร้าย ที่ก่อเหตุไปให้พระดูว่าใช่ผู้ก่อเหตุหรือไม่ ทางพระผู้เสียหายได้ดูภาพแล้วยืนยันว่าใช่คนร้ายที่ทำร้าย เบื้องต้นแพทย์ได้ทำการผ่าตัดกระดูกจมูก และกรามที่หักอาการปลอดภัยแล้ว
เบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากเรื่องเงินหรือเรื่องยาเสพติด เนื่องจากภายในกุฏิพบว่ามียาเสพติด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสอบปากคำผู้เสียหาย
>> คนเร่ร่อนควงมีด ทำร้ายนักท่องเที่ยวชาวอินเดียบาดเจ็บ วอนหน่วยงานแก้ไข ก่อเหตุไม่เว้นวัน
15.06 น. ศูนย์วิทยุหน่วยกู้ภัยสว่างบริบูรณ์ธรรมสถานเมืองพัทยา รับแจ้งเหตุใช้อาวุธมีดทำร้ายร่างกายมีผู้ได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดที่ หน้าอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งภายในซอยเย็นสบาย เมืองพัทยา ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังรับแจ้งจึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ. เมืองพัทยา พร้อมนำ กำลังเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยฯ รีบไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุ พบนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย อายุ 34 ปี สัญชาติ อินเดีย อยู่ในอาการหวาดกลัว ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้รับบาดเจ็บถูกคมมีด เข้าที่ฝ่ามือขวา ตามร่างกายยังมีร่องรอยเป็นแนวจากคมมีด เจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ ให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนเคลื่อนย้ายส่งโรงพยาบาล ส่วนผู้ก่อเหตุหลบหนีไปก่อนหน้านี้แล้ว ในที่เกิดเหตุยังพบมีดยาวประมาณ 30 เซนติเมตร หนึ่งเล่มตกอยู่ยังเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สอบถาม นายอดิศักดิ์ อายุ 51 ปี เจ้าของอู่ซ่อมรถ ให้ข้อมูลว่า นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศนั้นยืนคร่อมรถระหว่างรอซ่อม จู่ๆ ผู้ก่อเหตุ ลักษณะคล้ายบุคคลเร่ร่อน เดินถืออาวุธมีดเข้ามากระหน่ำฟัน นักท่องเที่ยวโดนไม่ยั้งมือ ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันและทะเลาะใดๆ กัน หลังก่อเหตุได้เดินออกไปยังหน้าตาเฉย ซึ่งกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพวิธีการการเกิดเหตุไว้ได้อย่างชัดเจน หลังเกิดเหตุจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์บุคคลเร่ร่อนทำร้ายนักท่องเที่ยวนั้น เกิดขึ้นอย่างบ่อยครั้งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับตัวนักท่องเที่ยว รวมไปถึงทำลายภาพลักษณ์ของเมืองพัทยาเป็นอย่างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างภาพ กวดขันบุคคลเร่ร่อนเหล่านี้ แต่ก็ไม่วายมาก่อเหตุไม่เว้นแต่ละวัน
>> ครม. เห็นชอบมาตรการ ป.ป.ช. ห้ามบรรจุคนเคยออกราชการเหตุทุจริตกลับรับราชการ
15.00 น. น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.เห็นชอบในหลักการตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ เพื่อไม่ให้ผู้กระทำผิดตามมาตรการดังกล่าวสามารถกลับเข้ารับราชการได้อีก
สืบเนื่องจากในปัจจุบัน มีผู้กระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการและถูกลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง ได้ขอกลับเข้ารับราชการ เนื่องจากได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ. 2550 ทั้งนี้ พระราชบัญญัติดังกล่าวล้างแต่เฉพาะโทษเท่านั้น แต่พฤติกรรมการกระทำผิดวินัยไม่ได้ถูกลบล้าง และหากเป็นการบกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจแก่สังคม จะถือเป็นลักษณะต้องห้ามในการบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้นำเสนอ มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ ต่อคณะรัฐมนตรีตามนัยมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 เพื่อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐเพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต ปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ โดยถือว่า เจ้าพนักงานของรัฐที่เคยถูกสั่งให้ออกจากราชการหรือออกจากการทำงานในหน่วยงานของรัฐเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ อันเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการขอกลับเข้ารับราชการหรือกลับเข้าทำงานใหม่ในหน่วยงานของรัฐ และไม่ให้พิจารณารับบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการหรือบรรจุเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐโดยเด็ดขาด
พร้อมกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจในการใช้ดุลพินิจรับบรรจุเจ้าพนักงานของรัฐกลับเข้าสู่ระบบราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ครอบคลุมหน่วยงานของรัฐทุกประเภทและให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
>> รถจักรยานยนต์ชนเสาประตูรั้วทางเข้าบ้าน ชายวัย 59 ปีเสียชีวิต
15.17 น. เจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างอริยะฯ ได้รับแจ้งมีอุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์ชนเสาประตูรั้วบ้านเรือนประชาชน และมีผู้เสียชีวิต บริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่ง ช่วงหลังวัดอินทาราม ในพื้นที่ ต.วังกระโจม อ.เมือง จ.นครนายก
ที่เกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ ฮอนด้า สีแดง ป้ายทะเบียน นครนายก ล้มคว่ำสภาพหน้ารถพังเสียหาย และใกล้กันพบร่างของผู้เสียชีวิต ตรวจสอบเอกสาร เป็นชายไทย อายุ 59 ปี ในส่วนของสาเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครนายก
>> นายกฯ หารือผู้แทนพิเศษเลขาธิการสหประชาชาติ ขับเคลื่อนความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางถนน มั่นใจ ไทยลดสถิติได้ดีในรอบหลายปีที่ผ่านมา
16.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนายฌอง ท็อด ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติด้านความปลอดภัยทางถนน แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยทางถนนของไทย ซึ่งยังคงเผชิญกับอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในระดับสูง โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งคิดเป็นกว่า 80% ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
นายกฯ เน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์ ซึ่งมีอัตราอุบัติเหตุสูงกว่าปกติ และในปีนี้รัฐบาลสามารถลดจำนวนอุบัติเหตุลงได้
ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติฯ ชื่นชมไทยที่ให้ความสำคัญต่อการยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนน ผ่านโครงการรณรงค์การใช้หมวกนิรภัยให้แก่เด็กและเยาวชน และเน้นย้ำถึงการส่งเสริมการใช้หมวกนิรภัยมาตรฐาน ซึ่งได้รับการยืนยันจากองค์การอนามัยโลกว่าสามารถลดความเสี่ยงการเสียชีวิตและบาดเจ็บได้ พร้อมเสนอแนะแนวทางต่อยอดให้โครงการดังกล่าวเป็นต้นแบบระดับชาติให้ครอบคลุมทุก ๆ จังหวัดในไทย
ทั้งสองฝ่าย ได้แสดงเจตจำนงร่วมกันในการสานต่อความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือกับภาคประชาสังคมและภาคเอกชน เช่น การเชิญศิลปินระดับโลกของไทยร่วมเป็นทูตส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนน ร่วมกับบุคคลที่มีบทบาทสำคัญระดับนานาชาติ ร่วมกันเดินหน้าขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืนต่อไป
>> อนุมัติ 781.88 ล้านบาท ให้ผู้ประสบอุทกภัยกว่า 8.6 หมื่นครัวเรือน จ่ายให้เสร็จภายใน 15 วัน
16.54 น. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. อนุมัติกรอบวงเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 เพิ่มเติม และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 งบกลาง ให้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยผ่าน ธนาคารออมสิน ตามที่ กระทรวงมหาดไทย เสนอจำนวน 781.88 ล้านบาท สำหรับ 86,876 ครัวเรือน ได้แก่
สถานการณ์ วันที่ 20 พ.ค. – 2 พ.ย.67 ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท บุรีรัมย์ สมุทรสาคร และสิงห์บุรี และ สถานการณ์ วันที่ 3 พ.ย. – 31 ธ.ค.67 ในพื้นที่ 13 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ ตรัง พัทลุง ยะลา ระนอง สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี (เป็นพื้นที่เดิมที่ ครม. เคยอนุมัติไปแล้ว แต่มีการสำรวจพบผู้มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติม)
โดยให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้จ่ายเงินช่วยเหลือในครั้งนี้ ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ นับแต่วันที่ได้รับจัดสรรงบฯ ตามมติ ครม.
>> แม่ค้าผลไม้ ถูกฉกเงินค่าเทอมหลาน สูญ 5 หมื่น วอนโจรรีบนำมาคืน
17.47 น. นางสรวง อายุ 64 ปี แม่ค้าขายผลไม้หน้าตลาดสดเทศบาลนครนนทบุรี ร้องขอความช่วยเหลือจากตัวแทนเพจกล้าที่จะก้าว หลังถูกคนร้ายลักษณะคล้ายทอมมีอายุ แอบฉกกระเป๋าสะพายแบบผ้าที่วางอยู่ในลังผลไม้ใต้แผงขายผลไม้ไป ภายในกระเป๋ามีเงินสดจำนวน 5 หมื่นบาท แหวนทองคำน้ำหนัก 1 สลึง จำนวน 1 วง และเอกสารบัตรประชาชน โดยเหตุเกิดเมื่อช่วงเย็น วันที่ 23 มี.ค.68
นางสรวง แม่ค้าผลไม้ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เย็นวันที่เกิดเหตุ ขณะที่ตนกำลังมีปากเสียงกับแม่ค้าในตลาด เกิดการโต้เถียงขึ้น ระหว่างนั้นมีคนร้ายลักษณะคล้ายทอม ผมสั้น มีอายุ เดินเข้ามาที่แผงขายผลไม้ของตน ก่อนจะก้มลงใช้มือล้วงเข้าไปหยิบกระเป๋าสะพายที่มีทรัพย์สินของตนแล้วเดินหลบหนีไป
นางสรวง กล่าวอีกว่า หลังแจ้งความเอาผิดกับคนร้ายที่ก่อเหตุไปจนจะครบเดือนแล้ว คดีไม่คืบหน้าตำรวจยังตามตัวคนร้ายไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่มีภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกคนร้ายขณะก่อเหตุเอาไว้ได้ชัดเจน ตอนนี้ตนทุกข์ใจหนักมากเพราะเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่ตนขายของแล้วเก็บออมเงินจำนวนดังกล่าวไว้นานเกือบ 5 เดือนเพื่อจะนำไปจ่ายค่าเทอมให้กับหลานทั้ง 3 คน ไม่คิดว่าจะมาถูกคนร้ายฉกเอาไปง่ายดายแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ตนเลือกที่จะไม่เก็บเงินจำนวนดังกล่าวไว้ที่บ้านเพราะกลัวหาย จึงเลือกที่จะเอามาพกไว้ติดตัวแทน ตนขอความเมตตาวิงวอนไปถึงคนร้ายที่ขโมยเอาเงินของตนไปด้วยว่า ขอให้สงสารเห็นใจเด็กๆทั้ง 3 คน ที่จะต้องจ่ายค่าเทอมด้วยเพราะตอนนี้ทางโรงเรียนก็ทวงค่าเทอมมาแล้ว ให้เห็นแก่อนาคตของเด็กๆ ด้วย ตอนนี้ตนก็ค้าขายไม่ดีกว่าจะเก็บเงินได้แต่ละบาทเพื่อรวบรวมไปจ่ายค่าเทอมให้หลาน และขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามตัวคนร้ายเพื่อนำเงินค่าเทอมหลานคืนกลับมาให้ตนด้วย เพราะตอนนี้ตนยังไม่มีหนทางที่จะหาเงินไปจ่ายค่าเทอมให้กับหลานทั้งสามคนที่จะเปิดเทอมในเดือนหน้า
>> ฟ้าผ่าชายดับ 1 รายระหว่างออกไปเก็บผักมาปรุงอาหาร
18.00 น. ฝ่ายความมั่นคง จ.อำนาจเจริญ ได้รับแจ้งเหตุจาก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ตำบลไก่คำ อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ เกิดเหตุวาตภัย พายุฝนตกและลมกระโชกแรง และได้เกิดเหตุฟ้าผ่าประชาชนในพื้นที่เสียชีวิต 1 ราย คือ นายสมหมาย อายุ 44 ปี โดยผู้เสียชีวิต ถูกฟ้าผ่าเสียชีวิตบริเวณกลางทุ่งนา ระหว่างที่ผู้เสียชีวิตออกไปเก็บผักเพื่อมาทำอาหาร ที่บ้านโคกค่าย
ทางอำเภอเมืองอำนาจเจริญ ได้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำรวจว่ามีผู้บาดเจ็บอีกหรือไม่ และตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมที่เกิดเหตุเพื่อดำเนินการตามระเบียบ ฯ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
>> ทบ. แสดงความเสียใจครอบครัวผู้เสียชีวิต จากอุบัติเหตุรถยนต์ทหาร เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง พร้อมเยียวยาอย่างเป็นธรรม
19.51 น. ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต 4 ราย จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 เม.ย. เวลาประมาณ 14.30 น. บนถนนหมายเลข 3481 ต.หมอนทอง อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ระหว่างรถยนต์บรรทุกทหารของหน่วย ร.112 พัน.2 กับรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 3 ราย และต่อมาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 1 ราย
จากข้อมูลเบื้องต้น รถของหน่วยอยู่ระหว่างเดินทางกลับจากการฝึกที่ จ.ลพบุรี มุ่งหน้าสู่ จ.ชลบุรี โดยขณะขับตามเส้นทาง รถจักรยานยนต์พ่วงข้างที่ขับสวนทางได้เสียหลักพุ่งข้ามเลน พลขับพยายามหักหลบแต่ไม่ทัน จึงเกิดการเฉี่ยวชน กองทัพบกยืนยันให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสอบสวนอย่างเต็มที่ และจะดำเนินการตามกฎหมายโดยโปร่งใส
ทั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาของหน่วยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 112 และผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 112 ได้ลงพื้นที่แสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และอยู่ระหว่างดำเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม
กองทัพบกขอแสดงความเสียใจอีกครั้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ พร้อมยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินการด้วยความรับผิดชอบตามกระบวนการยุติธรรม
>> ไฟไหม้บ้านประชาชนในเมืองปัว เสียหายวอดทั้งหลัง คาดไฟฟ้าลัดวงจร
20.09 น. พ.ต.ท.นพพร สุขกันต์ พนักงานสอบสวน สภ.ปัว จังหวัดน่าน ได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้จากศูนย์วิทยุนครน่าน 191 ว่ามีเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน ในพื้นที่บ้านทุ่งชัย เลขที่ 9 หมู่ 3 ตำบลเจดีย์ชัย อำเภอปัว จังหวัดน่าน จึงรายงานผู้บังคับบัญชา พ.ต.อ.บุญส่ง นิกรเถื่อน ผู้กำกับการ สภ.ปัว และเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุพบเพลิงกำลังลุกไหม้บ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากองค์การบริหารส่วนตำบลเจดีย์ชัย สายตรวจตำบลแงง และชาวบ้าน ได้ร่วมกันช่วยควบคุมเพลิงจนสามารถจำกัดวงเพลิงไว้ได้
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า บ้านที่เกิดเหตุได้รับความเสียหายทั้งหมด สาเหตุเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร เจ้าหน้าที่ได้ทำการบันทึกภาพและจัดทำแผนที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป
>> พนักงานผลัดตกคลองน้ำ หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ในพื้นที่เมืองพิษณุโลก
22.24 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพิษณุโลก และศูนย์วิทยุหน่วยกู้ภัยพิษณุโลก มูลนิธิประสาทบุญสถาน รับแจ้งมีบุคคลสูญหายคาดจมน้ำ จุดเกิดเหตุหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.สมอแข อ.เมือง จ.พิษณุโลก
กู้ภัยพิษณุโลก จัดทีมกู้ภัยและนักประดาน้ำ ตรวจสอบที่เกิดเหตุ และลงทำการค้นหาจนพบร่างผู้เสียชีวิต เป็นหญิงไทย อายุ 55 ปี ชาวบ้านหมู่ 4 ต. วังพิกุล อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
โดยที่เกิดเหตุเป็นคลองน้ำลึกประมาณ 3-4 เมตร ซึ่งขณะเกิดเหตุกล้องวงจรปิดขอโงแรมสามารถบันทึกภาพผู้เสียชีวิตได้ ระหว่างที่กำลังเดินมายังบริเวณริมคลอง และไม่พบว่าเดินกลับมาหรือเดินไปไหนอีกเลย เพื่อนร่วมงานสงสัยจึงช่วยกันตามหาจนพบแว่นผู้เสียชีวิตตกอยู่ริมคลอง และในคลองพบรองเท้า จึงเชื่อว่าพลัดตกลงไปในคลองน้ำจึงได้โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยช่วยค้นหาจนพบ
เบื่องต้น ร.ต.อ. หญิง ชนานันท์ ชัยกาวิน พนง.สส.สภ.เมืองพิษณุโลก พร้อม นพ.ณัฐสิทธิ์ เจริญสันติ ได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุในเบื้องต้น ก่อนให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างผู้เสียชีวิตส่งชันสูตรที่นิติเวช รพ.พุทธชินราช
>> แผ่นดินไหว ที่ประเทศเมียนมา
00.24 น. กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา แจ้งเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 3.3 ความลึก 10 กม. ภายในพื้นที่ของประเทศเมียนมา ศูนย์กลางห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ประมาณ 324 กม. ไม่มีรายงายผลกระทบต่อประเทศไทย
>> เพลิงไหม้โรงแรมชื่อดัง เมืองเชียงใหม่ หน่วยกู้ภัย พร้อมเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยและรถดับเพลิง เร่งระดมหัวฉีดน้ำเข้าระงับเหตุ
02.00 น. หน่วยกู้ชีพกู้ภัยได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บริเวณโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงแรมชื่อดัง ในพื้นที่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยขณะนี้ได้มีการระดมรถดับเพลิงและเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมสถานการณ์อย่างเร่งด่วน
รายงานเบื้องต้นระบุว่า เพลิงได้ลุกไหม้บริเวณส่วนหนึ่งของอาคารภายในโรงแรม อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันถึงสาเหตุของเพลิงไหม้และระดับความเสียหายที่แน่ชัด ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างควบคุมเพลิงและตรวจสอบพื้นที่โดยรอบเพื่อป้องกันไม่ให้เพลิงลุกลามไปยังส่วนอื่น
ทั้งนี้ ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยจะมีการอัปเดตสถานการณ์อย่างต่อเนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
>> อุบัติเหตุรถชนกันแล้วเกิดเพลิงลุกไหม้ ถนนบรมราชชนนี รถยี่ห้อหรูเสียหายวอดทั้้ง 2 คัน
02.20 น. รับแจ้งว่า ถนนบรมราชชนนี ขาเข้า ลงจากสะพานข้ามคลองทวีวัฒนา ก่อนถึงพุทธมณฑล สาย 3 ประมาณ 300 เมตร มีอุบัติเหตุ รถนั่งส่วนบุคคลชนกัน และเกิดเพลิงไหม้นั่งส่วนบุคคล ใกล้กันมีรถกระบะพลิกตะแคง กีดขวางทุกช่องทางในช่องทางหลัก เจ้าหน้าที่พร้อมด้วยรถดับเพลิงกำลังไปที่เกิดเหตุ อาสากู้ภัยกำลังตรวจสอบผู้บาดเจ็บ
สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แจ้งเหตุเพลิงไหม้รถยนต์ สถานที่เกิดเหตุ ใกล้เคียงซอยบรมราชชนนี 76 ถนนบรมราชชนนี แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร
ลักษณะที่เกิดเหตุเป็นอุบัติเหตุรถชนกัน จำนวน 3 คัน แล้วเกิดเพลิงลุกไหม้เสียหาย จำนวน 2 คัน คันที่ 1 รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ชนิดเก๋ง ยี่ห้อเฟอร์รารี่ สีขาว ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน รถใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิง และ คันที่ 2 รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ชนิดเก๋ง ยี่ห้อเบนซ์ สีดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน รถใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิง เพลิงลุกไหม้เสียหายทั้งหมด รถดับเพลิงใช้น้ำทำการดับเพลิงสงบ และมีรถกระบะ โตโยต้า สีเทา สภาพถูกเฉียวชนแล้วพลิกตะแคง
ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นสาเหตุเพลิงไหม้เกิดจาก อุบัติเหตุ ที่เกิดเหตุมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 1 ราย มีบาดแผลตามร่างกาย อาสาสมัครนำส่งโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ พื้นที่รับผิดชอบของสถานีดับเพลิงและกู้ภัยทวีวัฒนา ในส่วนของสาเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ธรรมศาลา
>> รถนั่งส่วนบุคคลเสียหลักชนราวสะพาน ถนนสายบ้านบึงราชนกเชื่อมต่อกับบ้านแหลมไผ่ มีผู้เสียชีวิต
03.00 น. รับแจ้งจาก หน่วยกู้ภัย บูรพา มีอุบัติเหตุรถนั่งส่วนบุคคล เสียหลักชนราวสะพาน และมีผู้เสียชีวิตชาย 1 ราย จุดเกิดเหตุ ถนนสายบ้านบึง - ราชนก ช่วงเชื่อมต่อกับบ้านแหลมไผ่ ในพื้นที่ ม.6 บ.บึงราชนก ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
ที่เกิดเหตุ พบรถนั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ โตโยต้า วีออส สีดำ ป้ายทะเบียน พิษณุโลก ลักษณะเสียหลักพุ่งชนราวสะพาน ที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิตชาย 1 ราย ลักษณะการแต่งกายสวมเสื้อแขนสั้นสีฟ้า กางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน สภาพเสียชีวิตในลักษณะท่านั่งอยู่บริเวณหลังพวงมาลัย มีบาดแผลฟกช้ำตามร่างกาย อาสาสมัครดำเนินการนำร่างออกมา แล้วตรวจสอบเอกสาร เป็นชายไทย อายุ 61 ปี ชาว อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังทอง ร้อยเวรเจ้าของคดี พร้อมแพทย์เวรร่วมตรวจสอบ ก่อนมีคำสั่งให้เคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตนำส่งนิติเวชโรงพยาบาลวังทองเพื่อชันสูตรหาสาเหตุในเบื้องต้นต่อไป
26 กรกฎาคม 2568
26 กรกฎาคม 2568
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานและจะรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานระบบของผู้ใช้ การเรียกดูเว็บไซต์ของเราในหน้าต่างๆ กรุณายอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา
อ่านเพิ่มเติมยอมรับ