หน้าแรก > อาชญากรรม

รมว.ยุติธรรม เปิดเรือนจำศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี แยกผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี-เด็ดขาด

วันที่ 9 เมษายน 2568 เวลา 23:08 น.


รมว.ยุติธรรม เปิดเรือนจำศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี แยกผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี-เด็ดขาด

วันนี้ (9 เม.ย.68) เวลา 10.30 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (รมว.ยธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดเรือนจำนำร่องในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี โดยมี นางสาวนันทรัศมิ์ เทพดลไชย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ , พ.ต.ท.เชน กาญจนาปัจจ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ , นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ , นางปรีดา วิสาโรจน์ รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน , นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณะกรรมการราชทัณฑ์ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

โดยภายในงาน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วย นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ Exclusive Talk เรื่อง “จัดตั้งเรือนจำศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub)” อีกทั้งมีการจัด Mini Talk เรื่อง“ อิสรภาพที่หายไปก่อนการตัดสินสิทธิและโอกาสในการพิสูจน์ตนเองของชีวิตหลังกำแพง” พร้อมกับ นางสาวนันทรัศมิ์ เทพดลไชย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม , นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร , คุณอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช (เบนซ์ เรซซิ่ง) , คุณพัฒนพล มินทะขิน (ดีเจแมน) และ คุณนพนันท์ ทองเคลือ (เอิร์น วัดใหญ่) ร่วมกันแบ่งปันความรู้ในประเด็นดังกล่าว

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้กล่าวถึงความสำคัญของการเปิดเรือนจำศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ในครั้งนี้ ว่า “ประเทศที่เจริญไม่ได้วัดที่ความยิ่งใหญ่ของประเทศ แต่วัดจากคุณภาพของคน ถ้าวัดจำนวนผู้กระทำความผิดในประเทศไทย จากจำนวนประชากร 100,000 คน จะพบว่าประเทศไทยมีผู้ต้องหามากที่สุดในเอเชียแปซิฟิกรองจากประเทศอเมริกา อย่างไรก็ตามอดีตถือเป็นบทเรียน แต่ปัจจุบันและอนาคตคือความรับผิดชอบ คนทุกคนล้วนเคยทำผิดพลาด โอกาสจึงเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขความผิดพลาด อย่างวันนี้ผมได้มีโอกาสมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผมจะใช้โอกาสในการพัฒนางานให้ได้มากที่สุด เช่นกันกับคนที่อยู่หลังกำแพง ผู้ต้องราชทัณฑ์ ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการความสงสารแต่ต้องการโอกาส เพราะโอกาสคือสิทธิที่เขาควรได้รับในการปรับตัว ซึ่งนอกจากต้องปรับที่ผู้ต้องขังแล้วเรือนจำเองต้องเปลี่ยนด้วย ไม่ใช่เป็นแค่สถานที่ฟื้นฟูเพื่อพัฒนาพฤตินิสัยอย่างเดียว แต่ต้องเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่ที่สร้างความปลอดภัย ความเจริญ และความมั่นคงได้ในระดับประเทศ ผมจึงขอให้สถานที่แห่งนี้เป็นเรือนจำนำร่องในการให้สิทธิ ให้ศักดิ์ศรีกับผู้ต้องขังระหว่าง ให้เขาได้มีสิทธิในการพบทนาย สิทธิในการรักษาพยาบาล และสิทธิที่พึงได้รับ”

สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณอธิบดีกรมราชทัณฑ์ คณะกรรมการราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้อำนวยการทัณฑสถาน และข้าราชการกรมราชทัณฑ์ทุกท่าน ที่ให้ความสำคัญกับการผลักดันให้เกิดศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ขึ้นมา และต้องเร่งขับเคลื่อนให้เกิดเรือนจำระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ให้ได้ในทุกแห่ง เพื่อให้สิทธิและโอกาสในการพิสูจน์ตนเอง และเกิดความเหมาะสมกับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป รมว.ยุติธรรม กล่าว

สำหรับการเปิดเรือนจำศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub) กระทรวงยุติธรรม ได้มีนโยบายให้กรมราชทัณฑ์ ปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีให้สอดคล้องกับหลักรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักการปฏิบัติของสากลเพื่อยกระดับของการปฏิบัติต่อบุคคลที่ตามกฎหมายแล้วถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งยังเป็นการยกระดับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังให้สอดคล้องกับหลักสากลอันจะส่งผลต่อการฟื้นฟูหลักนิติธรรมของประเทศ สำหรับเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ถือเป็นเรือนจำต้นแบบในการแยกการปฏิบัติของผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีออกจากผู้ต้องขังเด็ดขาด ซึ่งนอกจากจะมีการแยกพื้นที่กันอย่างเด็ดขาดแล้ว ยังจะมีการนำโปรแกรมต่าง ๆ ที่เหมาะสมมาใช้ในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี โดยต้องคำนึงถึงความต้องการของผู้ต้องขังในเรื่องของการให้ความรู้ทางกฎหมายเพื่อต่อสู้คดีการส่งเสริมความแข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงการจัดสวัสดิการต่าง ๆ

โดยกำหนดให้มีการจัดตั้งเรือนจำศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ในเรือนจำที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดเดียวกัน โดยให้มี 1 เรือนจำ ทำหน้าที่ในการควบคุมผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี ส่วนเรือนจำอื่นในจังหวัดให้ทำหน้าที่ควบคุมนักโทษขังเด็ดขาด ประกอบด้วย 8 กลุ่มจังหวัด ดังนี้ กลุ่มจังหวัดลำปาง , กลุ่มจังหวัดพิษณุโลก , กลุ่มจังหวัดพระนครศรีอยุธยา , กลุ่มจังหวัดขอนแก่น , กลุ่มจังหวัดนครศรีธรรมราช , กลุ่มจังหวัดสงขลา , กลุ่มจังหวัดปทุมธานี และ กลุ่มจังหวัดกรุงเทพมหานคร ได้กำหนดเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเพื่อควบคุมผู้ต้องขังคดีทั่วไป และคดียาเสพติดให้โทษ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นสอบสวน - ไต่สวน พิจารณา และควบคุมผู้ต้องขังเด็ดขาดที่มีกำหนดโทษเหลือไม่เกิน 5 ปี ไม่เกินร้อยละ 20 ในอัตราส่วน 1.6 ตารางเมตรต่อผู้ต้องขัง 1 คน เพื่อทำงานสุขาภิบาลต่าง ๆ หรือภารกิจอื่นในเรือนจำ ในส่วนของการปฏิบัตินั้นได้จัดทำแนวทางการปฏิบัติขึ้นใหม่ เพื่อให้เกิดความเหมาะสม ประกอบด้วย การปรับปรุงชุดของผู้ต้องขังสำหรับการไปศาล การให้ความรู้ทางกฎหมาย รวมถึงการพบปะกับบุคคลภายนอก โดยเฉพาะทนายความ การเยี่ยมญาติใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว เป็นต้น

ทั้งนี้ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมคณะ และสื่อมวลชน เข้าดูพื้นที่จำแนก และควบคุมผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี เพื่อให้การปฎิบัติเป็นไปตามแนวทางปฎิบัติของเรือนจำศูนย์ระหว่างพิจารณาคดี (Hub) ด้วย

 

ข่าวยอดนิยม