วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 20:06 น.
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 นายแพทย์ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีจะตรงกับวันวาเลนไทน์ ปีนี้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อยากแนะนำให้คู่รักหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ โดยการสื่อความรักแบบไทยด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มอบของขวัญให้กับคู่รัก เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรบำรุงหัวใจ เนื่องในวันวาเลนไทน์นี้
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อยากแนะนำเพื่อมอบให้กับคนรักในวันวาเลนไทน์ ได้แก่ 3 ชาสมุนไพร ประกอบด้วย
ชาดอกกุหลาบมอญ กุหลาบมอญ ถือเป็นดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมปลูกกันมานาน ปัจจุบันคนไทยนิยมรับประทานเป็นชาดอกกุหลาบมอญ โดยมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจ เสริมสร้างให้ระบบการไหลเวียนของเลือดมีประสิทธิภาพดีขึ้น
ชาดอกมะลิ ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย ดอกมะลิ มีคุณสมบัติมากกว่าการมีกลิ่นหอมเพราะในเชิงสรรพคุณทางยา ดอกมะลิ นับว่าเป็นเครื่องยาเด่นตัวหนึ่งในตำรับยาไทยหลายตำรับ มะลิ มีรสหอมเย็น สรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน ช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้จิตใจชุ่มชื่น แก้ร้อนใน กระหายน้ำ
ชาเบญจเกสร โดยนำดอกไม้ 5 ชนิด ประกอบด้วย ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี และเกสรบัวหลวง มาปรุงเป็นยาบำรุงหัวใจ ชูกำลัง แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ไข้ แก้ลมวิงเวียน ช่วยให้เจริญอาหาร วิธีรับประทานไม่ยุ่งยาก นำดอกไม้ทั้ง 5 ชนิด ปริมาณเท่ากันใส่ลงในกาน้ำ หรือ แก้ว รินน้ำร้อนแช่ไว้สักครู่ ดื่มในขณะร้อน หรืออุ่นๆ สรรพคุณ ของดอกไม้แต่ละชนิดมีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจ ดอกมะลิมีกลิ่นหอม รสยาหอมเย็นขม บำรุงหัวใจ แก้ไข้ ดับพิษร้อน ดอกพิกุล รสยาหอมเย็น แก้ไข้ บำรุงหัวใจ บำรุงเลือด ดอกบุนนาค ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ดอกสารภี รสหอมเย็น เป็นยาชูกำลัง บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น และ เกสรบัวหลวง แก้ไข้ ขับลมบำรุงเลือด ทำให้รู้สึกสดชื่น
"ในส่วนยาสมุนไพรที่มีจุดเด่นในเรื่องบำรุงหัวใจ ที่อยากแนะนำอีกตำรับ คือ ยาหอม ตามหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ยาหอม เป็นยาที่ช่วยบำรุงหัวใจ ซึ่งไม่ได้หมายถึง การกระตุ้นการทำงาน หรือปรับการเต้นของหัวใจ แต่หมายถึง การปรับการทำงานของธาตุลมในร่างกายที่ส่งผลต่อธาตุไฟ และธาตุน้ำให้ทำงานได้อย่างสมดุล ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น และ ช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น สำหรับข้อแนะนำทั่วไปสำหรับการใช้ยาหอม ให้ได้ผลดี แม้จะเป็นชนิดเม็ด ควรนำมาละลายน้ำอุ่น รับประทานขณะอุ่น ๆ เพราะการออกฤทธิ์ของน้ำมันหอมระเหยที่มีในยาหอม จะช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งจะออกฤทธิ์ผ่านระบบประสาทรับกลิ่น และการดูดซึมของกระเพาะอาหาร ปัจจุบันยาหอมมีรูปแบบที่ทันสมัย และพกง่ายขึ้น สำหรับข้อห้ามและข้อควรระวังในการใช้ คือ ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้เกสรดอกไม้ ควรระวังในผู้ที่ใช้ยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเลือดและละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน วาร์ฟาร์ริน โคลพิโดเกรล และ ยาหอมบางประเภท มีตัวยาการบูรเป็นส่วนประกอบ ดังนั้น ควรระวังการใช้อย่างต่อเนื่องในผู้ป่วยโรคตับและไต เพราะอาจเกิด การสะสมของการบูรจนเกิดความเป็นพิษได้"
21 พฤษภาคม 2568
21 พฤษภาคม 2568
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานและจะรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานระบบของผู้ใช้ การเรียกดูเว็บไซต์ของเราในหน้าต่างๆ กรุณายอมรับนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา
อ่านเพิ่มเติมยอมรับ