เดอะสเตรตส์ไทมส์ รายงานว่า จังหวัดยามานาชิซึ่งเป็นประตูสู่ยอด “ภูเขาไฟฟูจิ” แลนด์มาร์กสำคัญของ ประเทศญี่ปุ่น มีนักปีนเขาหลายพันคนใช้เป็นเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาในแต่ละปีและก่อให้เกิดความแออัด

ทางการท้องถิ่นจึงประกาศว่าจะเก็บธรรมเนียมเข้าคนละ 2,000 เยน หรือประมาณ 476 บาท โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2567 หลังร่างกฎหมายผ่านความเห็นชอบเมื่อ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา
สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ระบุว่า มาตรการดังกล่าวออกมาบังคับใช้เพื่อควบคุมความแออัดในบริเวณใกล้ยอดเขา นักปีนเขาจะต้องจ่ายเพิ่มจากเดิมเก็บค่าธรรมเนียมคนละ 1,000 เยน หรือเกือบ 240 บาทเพื่อนำเงินไปสนับสนุนการอนุรักษ์ภูเขาไฟฟูจิ

ด้านหนังสือพิมพ์แจแปนไทมส์ รายงานว่าทางการท้องถิ่นจะติดตั้งประตูเก็บค่าธรรมเนียมค่าเข้าสถานีภูเขาไฟฟูจิที่ 5 ซึ่งเป็นทางเข้าสู่ เส้นทางโยชิดะ หรือทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิจากฝั่งจังหวัดยามานาชิและเป็น 1 ใน 4 เส้นทางเดินเขาสู่ยอดภูเขาไฟฟูจิที่ประกอบด้วยสถานีต่างๆ 10 แห่ง โดยมียอดเขาเป็นด่านสุดท้าย ส่วนอีก 3 เส้นทางยังคงเปิดให้เข้าฟรี

ทั้งนี้ ทางการจะนำเงินค่าธรรมเนียมไปสร้างที่พัก รวมถึงส่งผู้สังเกตการณ์ออกตรวจตราและเตือนนักปีนเขาที่ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม

สำหรับ ภูเขาไฟฟูจิมีความสูง 3,776 เมตรและเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ให้เป็นมรดกโลก ใช้เวลาเดินทางจากจากกลางกรุงโตเกียวประมาณ 2 ชั่วโมง อัตราค่าธรรมเนียมใหม่นี้ถูกกำหนดขึ้นหลังจากเมื่อปีที่แล้วมีนักปีนเขาประมาณ 300,000 คนเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาฟูจิซึ่งเกือบจะเท่ากับจำนวนนักปีนเขาช่วงก่อนเกิดโรคโควิด-19 แพร่ระบาด

ส่วนกระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่นระบุว่าฤดูปีนเขาปีที่แล้วมีนักปีนเขากว่าร้อยละ 60 ใช้เส้นทางโยชิดะและในเดือนส.ค.ปีเดียวกัน กระทรวงสิ่งแวดล้อมประกาศว่าจะออกกฎจำกัดจำนวนนักปีนเขาเส้นทางโยชิดะเพื่อลดอันตรายจากความแออัด

สำหรับฤดูกาลปีนเขาในปีนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. โดยทางการจะจำกัดนักปีนเขาให้เข้าได้ไม่เกิน 4,000 คนต่อวัน แต่ไม่นับรวมคนที่พักในกระท่อมบนภูเขา นอกจากนี้มาตรการดังกล่าวยังช่วยป้องกันบรรดา “นักปีนเขาเร็ว” หรือนักปีนเขาที่มุ่งมั่นจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาโดยเดินเขาตลอดคืนและไม่หยุดพักผ่อนที่กระท่อมบนภูเขาซึ่งเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตรายด้วย