วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 02:00 น.
ก.พาณิชย์ ร่วมมือเอกชน 15 รายใหญ่ ทำข้อตกลงร่วมมือใน การให้ข้อมูลราคาขายปลีกสินค้าอุปโภค บริโภค และราคาวัสดุก่อสร้าง
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 15 ก.พ.67 ที่ห้องประชุมณ ห้องประชุมบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ถนนนนทบุรี ต.ท่าทราย อ.เมืองนนทบุรี นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการให้ข้อมูลราคาขายปกสินค้าอุปโภค - บริโภค และราคาวัสดุก่อสร้าง ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับ 15 ผู้ประกอบรายสำคัญของประเทศ ประกอบด้วย
1) สมาคมผู้ค้าปลีกไทย 2) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) 3) บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) 4) บริษัท ชีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด 5) บริษัท ชี.เจ. เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด 6 บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด 7) บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน)
8 บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด 9) บริษัท บิ๊กชี ชูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) 10) บริษัท ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์มาเก็ต จำกัด 11) บริษัท เมกา โฮม เซ็นเตอร์ จำกัด 12) บริษัท อิออน (ไทยแลนด์) จำกัด 13) บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ชิสเทม จำกัด
14) บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด และ 15) บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)
สำหรับ การลงนามในครั้งนี้ถือเป็นข้อตกลงความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นการเร่งทำงานเชิงรุก โดยจากเดิมที่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลจำนวนมากตามห้างร้าน ในการทำข้อตกลงได้เปลี่ยนเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลโดยตรงจากผู้ประกอบการ ใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและความอนุเคราะห์จากผู้ประกอบการ ทำให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว และ ลดกระบวนการทำงาน ให้รวดเร็ว ง่าย และมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยใช้ศักยภาพของความร่วมมือระหว่าง 2 ฝ่าย ซึ่งการยกระดับดัชนีในครั้งนี้จะช่วยในเรื่องการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ การวัดค่าครองชีพของประชาชน และการจัดทำอัตราค่าแรงขั้นต่ำ สำหรับในเรื่องราคาวัสดุก่อสร้างจะนำมาอ้างอิงในการจัดทำราคากลางสไหรับการก่อสร้างงานภาครัฐ
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับพิธีลงในการให้ข้อมูลราคาค้าปลีกของสินค้าอุปโภค บริโภค และวัสดุก่อสร้าง ที่ได้รัลความร่วมมือจากผู้ประกอบการรายใหญ่ส่งข้อมูลผ่านระบบดิจิตอล ซึ่งข้อมูลเกล่านี้จะนำไปพิจารณราในเรื่อง้งินเฟ้อของประเทศไทย และนำไปใช้ในหน่วยงานอื่นๆของภาครัฐ เช่น กระทรวงการตลังนำไปกำหนดอัตราดอกเบี้ย กระทรวงแรงงานนำไปประกอบการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ หน่วยงานการจัดซื้อจัดจ้างก็นำดัชนีนี้ไปกำหนดราคากลสงในการก่อสร้างโครงการของภาครัฐ โดยก่อนหน้านี้ทางกระทรวงพาณิชย์ใช้บุคคลากรในการเก็บข้อมูลซึ่งมีความยากลำบาก ซึ่งข้อมูลสินค้ามีจำนวนเป็นแสนรายการ และจากสถานการณ์โควิดกระทรวงพาณิชย์ได้ถูกตัดงบลง ทำให้บุคคลากรในการเก็บข้อมูลลดลงด้วย ทำให้ต้องหาวิธีในการเก็บข้อมูลซึ่งได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ทำให้ข้อมูลมีความแม่นยำและรวดเร็วขึ้น หน่วนงานถาครัฐต่างๆได้ประโยชน์จากการนำข้อมูลนี้ไปวิเคราะห์และวางแผนต่อไปได้


