ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 (ณ เวลา 16.00 น.)ตามที่เกิดสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปผลการปฏิบัติที่สำคัญ ดังนี้สถานการณ์การสู้รบ ทั้งสองฝ่ายยังคงวางกำลังในที่ตั้ง เนื่องจากมีฝนตกหนักในพื้นที่ สถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงจากเวลา 12.00 น. มากนักการอพยพประชาชน ไปยังพื้นที่รวบรวมพลเรือน พื้นที่ตอนในทั้ง 4 จ.อย่างต่อเนื่อง จ.บุรีรัมย์ อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 1 จุด จำนวน 8,363 คน, จ.สุรินทร์ อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 65 จุด จำนวน 39,350 คน, จ.ศรีสะเกษ อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 82 จุด จำนวน 35,009 คน และ จ.อุบลราชธานี อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 76 จุด จำนวน 14,709 คน ปัจจุบันดำเนินการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือนแล้ว จำนวน 97,431 คน (เพิ่มขึ้น 9,393 คน)ผลกระทบต่อประชาชน พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย บ.หนองถนน ต.โคกว่าน อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์, บ้านสายโท10ใต้ และบ้านสายโท8ใต้ ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ จรวด BM-21 ตกในพื้นที่ 28 นัด ไม่มีรายงานการสูญเสียต่อชีวิตของประชาชนจิตอาสาพระราชทาน ดูแลและช่วยเหลือประชาชน โดยจัดกำลังจิตอาสา 904, จิตอาสาพระราชทาน และจิตอาสา เข้าอำนวยความสะดวกประชาชนในศูนย์พักพิงชั่วคราว และช่วยขนย้ายสิ่งของ รวมทั้งช่วยในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ประชาชนได้รับทราบ ในพื้นที่ 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.บุรีรัมย์, จ.สุรินทร์, จ.ศรีสะเกษ และจ.อุบลราชธานี และจิตอาสา 904 จาก ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน จ.ใกล้เคียง รวมทั้งสิ้น จิตอาสา 904 129 นาย, จิตอาสาประชาชน 2,480 และ รด.จิตอาสา 220 นายการจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จ.บุรีรัมย์ มีโรงครัวพระราชทาน 1 แห่ง รถประกอบอาหาร 2 คัน และมีร้านอาหารเอกชน ณ สนามช้างอารีน่า, จ.สุรินทร์ โรงครัวพระราชทาน 3 แห่ง รถประกอบอาหาร 2 คัน จัดตั้งโรงครัวพระราชทาน ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ อ.เมือง, ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ อ.เมือง และ ที่โรงเรียนโสตศึกษา อ.ปราสาท, จ.ศรีสะเกษ โรงครัวพระราชทาน 2 แห่ง รถประกอบอาหาร 2 คัน จัดตั้งที่ วิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษ์ อ.กันทรลักษ์, ที่โรงเรียนเบญจลักษณ์วิทยา อ.กันทรลักษ์ และจ.อุบลราชธานี โรงครัวพระราชทาน 1 แห่ง รถประกอบอาหาร 2 คัน จัดตั้งที่ ที่ว่าการ อ.เดชอุดม รวมข้าวที่แจกจ่าย ตั้งแต่วันที่ 24 – 26 ก.ค. 68 จำนวน 100,100 กล่องจิตอาสาช่วยรับบริจาค หน่วยงานราชการ เอกชน ประชาชนทุกภาคส่วน ได้บริจาคสิ่งของเครื่องใช้ อาหาร และเครื่องดื่ม ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดย จิตอาสาพระราชทาน จากศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน จังหวัดใกล้เคียง จังหวัดอื่นๆ ได้มาช่วยรับบริจาค ขนย้าย เพื่อนำมาดูแลประชาชน ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว 

สดุดีทหารกล้า มทบ.25 จัดพิธีส่งศพทหารกล้า ที่ได้สละชีวิตปกป้องอธิปไตยจากเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดน ไทย-กัมพูชามณฑลทหารบกที่ 25 จัดพิธีส่งศพ 3 ทหารกล้า ที่ได้สละชีวิตปกป้องอธิปไตยจากเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ณ โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน เพื่อนำร่างกลับไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลที่ภูมิลำเนา ได้แก่สิบเอก กฤษฎา น้อยโคตร สังกัด กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6สิบเอก จิรายุ สิงห์อ้น สังกัด กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6สิบเอก นพพล บุญเลิศ สังกัด กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6โดยมี พลตรี ไชยนคร กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25, นายวีระชัย ประเสริฐโส รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ คณะนายทหาร, จิตอาสา 904 จิตอาสาพระราชทาน ครอบครัวและญาติ ร่วมส่งร่างของทหารกล้าอย่างสมเกียรติ     

จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนประเทศไทยและกัมพูชาที่เกิดขึ้น โดยกัมพูชาได้ออกประกาศ NOTAM พื้นที่ห้วงอากาศอันตรายในการดูแลของประเทศกัมพูชา (Phnom Penh FIR) บริเวณชายแดนข้อพิพาทกับประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 และได้ปิดพื้นที่บางส่วนที่มีการสถานการณ์ ต่อมาประเทศไทยได้ออกประกาศ NOTAM พื้นที่ห้วงอากาศอันตรายในพื้นที่ต่อเนื่องที่ได้รับผลกระทบในส่วนของประเทศไทยโดยพลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) กล่าวว่า CAAT ได้ดำเนินการประสานงานอย่างต่อเนื่องกับ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) และศูนย์บริหารจัดการห้วงอากาศ (AMC) ซึ่งมีผู้แทนกองทัพร่วมปฏิบัติงาน โดยการประกาศพื้นที่ดังกล่าวของกัมพูชาเป็นพื้นที่จำกัดไม่ส่งผลกระทบต่อการจราจรทางอากาศที่เดินทางออกจากประเทศไทย เนื่องจากสามารถใช้เส้นทางบินอื่นหลีกเลี่ยงได้ เที่ยวบินต่างๆ ที่จะเดินทางเข้าหรือออกประเทศไทยได้ตามปกติเที่ยวบินภายในประเทศและเที่ยวบินระหว่างประเทศจึงสามารถปฏิบัติการได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังไม่พบการยกเลิกเที่ยวบิน หรือความล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญในสนามบินต่าง ๆ ของประเทศไทยCAAT และ บวท. ได้มีการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การเดินทางทางอากาศเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีความปลอดภัยสูงสุด โดยมีการประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างใกล้ชิดเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ และการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงตลอดเวลาตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนไทยให้น้อยที่สุดหากมีประเด็นข้อสงสัยประการใดขอให้ประชาชนที่จะเดินทางติดต่อประสานงานกับสายการบินที่จะเดินทางได้ในเบื้องต้น และถ้าหากต้องการเปลี่ยนแปลงการเดินทางใดๆ ขอให้ตรวจสอบตามข้อตกลงที่มีอยู่ และขอให้ตรวจสอบเอกสารการเดินทางให้เรียบร้อยก่อนการเดินทางเพื่อสามารถเดินทางเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

แม้เราชาวกรุงเทพฯ จะอยู่ห่างไกลจากชายแดนไทย-กัมพูชา แต่หัวใจของเรารวมเป็นหนึ่ง เพราะคนไทยไม่เคยทอดทิ้งกันในยามวิกฤต และในวันนี้ กรุงเทพมหานครไม่ใช่แค่ส่งสิ่งของ แต่ขอส่งความห่วงใยและกำลังใจไปถึงแนวหน้าและพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบทุกคน(26 ก.ค. 68) เวลา 14.40 น. ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร กรุงเทพมหานครได้จัดส่งรถสุขา จำนวน 4 คัน พร้อมรถบรรทุกสิ่งของบริจาค ออกเดินทางไปยังศูนย์อพยพในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เป็นรอบแรกโดยเมื่อเวลา 12.55 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เปิดเผยว่า จากการพูดคุยล่าสุด พบว่ามีประชาชนที่ต้องอพยพกว่าแสนคน และมีศูนย์อพยพกว่า 200 แห่ง ซึ่งในหลายแห่งมีห้องน้ำไม่เพียงพอ เพราะไม่ได้ถูกออกแบบไว้รองรับผู้อพยพลี้ภัย กรุงเทพมหานครจึงได้จัดรถสุขาเคลื่อนที่ 4 คัน พร้อมรถบรรทุกสิ่งของบริจาค เตรียมออกเดินทางวันนี้ในเวลาประมาณ 14.30 น. คาดว่าจะถึงปลายทางไม่เกินเที่ยงคืนตอนนี้คือ ‘นาทีทอง’ ของการส่งต่อความช่วยเหลือ ใครอยากร่วมสมทบสิ่งของจำเป็น เช่น ที่นอน หมอน มุ้ง ของใช้ส่วนตัว ส่งมาได้เลย กทม. จะส่งตรงถึงมือผู้ที่ต้องการ ถ้าเกิดเรามีอะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยกัน เราทำได้แค่ไหน เราทำให้ดีที่สุด เป็นการรวมน้ำใจกันของคนไทยเรื่องความปลอดภัย เราให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ทุกจุดที่ กทม. ลงพื้นที่ ไม่ใช่พื้นที่เสี่ยง แต่เป็นจุดที่ประชาชนอพยพมาแล้ว ซึ่งถือว่าอยู่ในโซนปลอดภัย เจ้าหน้าที่ของเราจะเข้าไปดูแลในพื้นที่เหล่านี้โดยเฉพาะผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวย้ำว่า ภารกิจของ กทม. ไม่ใช่การเข้าไปช่วยทหารในแนวหน้าโดยตรง แต่คือการเข้าไปดูแลพี่น้องประชาชนที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่เพราะผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ การที่เราจัดรถสุขาเคลื่อนที่ 4 คัน อาจจะไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ประสบภัยหลักแสน แต่เราทำเต็มที่ตามทรัพยากรที่มี เป็นการช่วยเหลือคนละไม้คนละมือ เหมือนตอนน้ำท่วมที่เชียงราย เราก็เร่งเข้าไปช่วยทันทีเช่นกัน“ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ต้องลุยเต็มที่ โดยเรื่องยุทธการต่าง ๆ เป็นหน้าที่ทหาร ส่วนเราก็ช่วยดูแลพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ถึงเวลาที่จะต้องสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต้องรวมใจกัน ช่วยอะไรได้ก็ช่วย อาจจะไม่ได้ช่วยได้ทั้งแสนคน แต่ก็เหมือนกับเป็นน้ำหยดเล็ก ๆ ที่ลงมาบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ ขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันในภาวะวิกฤตแบบนี้ กทม. ขอส่งกำลังใจให้ทั้งทหารและประชาชนทุกคน” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวทิ้งท้ายสำหรับสิ่งของที่ได้รับบริจาคมาในขณะนี้ ได้แก่ ผ้าอนามัย สบู่ ครีมอาบน้ำ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แชมพู โฟมล้างหน้า สเปรย์กันยุง หนังสือนิทาน กระดาษทิชชู ผ้าอ้อมเด็ก ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ผ้าห่ม ผงซักฟอก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแห้ง นม เสื่อปูพื้น มุ้งสปริง และสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ รวมทั้งสิ้น 2,273 ชิ้น (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ก.ค. 68 เวลา 14.30 น.) โดยสามารถติดตามดูข้อมูลของรับบริจาค ของ “ศูนย์ส่งต่อกำลังใจจาก กทม. สู่ผู้อพยพจังหวัดชายแดน” ได้ที่ [https://lookerstudio.google.com/.../91ca085b.../page/VkfSF](https://lookerstudio.google.com/.../91ca085.../page/VkfSF...)ทั้งนี้ ผู้ประสงค์บริจาคสิ่งของเติมพลังให้หัวใจแนวหน้า เยียวยาหัวใจผู้ได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อได้ที่ “ศูนย์ส่งต่อกำลังใจจาก กทม. สู่ผู้อพยพจังหวัดชายแดน” ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร ติดต่อสอบถาม โทร. 0 2224 2947 และ 0 2224 2953 หรือ 0 2221 2141-69 ต่อ 1742-3 ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค. 68 เวลา 07.30 น. เป็นต้นไป เปิดรับบริจาคสิ่งของตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ และที่ 50 สำนักงานเขต กทม. ทุกวัน เวลา 08.30 - 16.30 น.  

วันนี้ (26 กรกฎาคม 2568) นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ขณะนี้หลายพื้นที่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เริ่มมีฝนตกหนักเนื่องจากพายุฝน และอาจเกิดน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ รฟม. จึงได้เตรียมความพร้อม 4 มาตรการรองรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากฝนตกหนัก เพื่ออำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางให้แก่ประชาชนผู้ใช้เส้นทาง ทั้งนี้ รฟม. ได้กำชับให้ผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จัดเตรียมความพร้อมและดำเนินการตามมาตรการรองรับในกรณีฝนตกหนัก ไว้ดังนี้1. ขุดลอกท่อระบายน้ำ บ่อพัก และลำรางตามแนวสายทางของโครงการฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ2. จัดเก็บวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์และเครื่องจักร จัดหาผ้าใบปกคลุมไว้ให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้เศษหินดินทรายตกหล่นสู่ทางระบายน้ำ3. นำรถดูดฝุ่นมาใช้ทำความสะอาดถนนสาธารณะ ช่วยลดเศษดินหรือฝุ่นที่อาจตกหล่นไปกีดขวางทางระบายน้ำ4. จัดเตรียมเครื่องสูบน้ำให้พร้อม สนับสนุนการทำงานร่วมกับส่วนงานที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่โดยตรงช่วยระบายน้ำในพื้นที่ท่วมขังนอกจากนี้ รฟม. ได้กำชับให้ที่ปรึกษาควบคุมการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างให้เป็นไปตามมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง โดยเน้นการตรวจสอบการทำงานบนที่สูง การติดตั้งแผ่นรองขาเครน ราวกันตก บันไดขึ้นลงที่มีราวจับมั่นคง การยึดโครงสร้างนั่งร้าน รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีความมั่นคง แข็งแรงและปลอดภัย รวมถึงเพิ่มสัญญาณไฟแสงสว่างให้เพียงพอต่อการสังเกตเห็นในระยะที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงาน ผู้ใช้รถใช้ถนน และประชาชนที่สัญจรผ่าน อีกทั้งให้ผู้รับจ้างติดตามข่าวสารและเฝ้าระวังสถานการณ์พายุฝนอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทรศัพท์ 0 2716 4044

วันที่ 26 กรกฎาคม 2568 พนมเปญโพสต์ (phnompenhpost) รายงานว่า กัมพูชา ปิดน่านฟ้า เหนือพื้นที่ที่กำลังเผชิญความขัดแย้งทางอาวุธกับไทย โดยสายการบินต่างๆ ได้รับคำสั่งให้เปลี่ยนเส้นทางการบินเพื่อความปลอดภัย รวมถึงกำหนดระดับความสูงขั้นต่ำของเที่ยวบินสำหรับเส้นทางที่อาจมีความเสี่ยง เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่กองกำลังไทยจะยกระดับการรุกรานทางทหารนายสิน จันเสเรยวุทธา โฆษกสำนักงานเลขาธิการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งรัฐ (เอสเอสซีเอ) ให้สัมภาษณ์เดอะโพสต์เมื่อเช้าวันที่ 26 กรกฎาคม ว่า การตัดสินใจปิดน่านฟ้าเหนือพื้นที่ขัดแย้งนั้นเป็นผลมาจากการใช้อาวุธหนักในระดับความสูงของไทยซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินพาณิชย์มาตรการนี้ดึงบทเรียนจากเหตุการณ์ระหว่างประเทศในอดีตมาใช้ เจ้าหน้าที่จราจรทางอากาศของกัมพูชาห้ามเที่ยวบินบินต่ำกว่า 1,200 เมตรในพื้นที่ระหว่างสนามบินนานาชาติเสียมเรียบเก่าและจังหวัดไพลิน“เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ขัดแย้งเมื่อคืนวันที่ 25 กรกฎาคม เราจึงปรับเส้นทางการบินที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง เราไม่อนุญาตให้เที่ยวบินใดๆ ผ่านพื้นที่ดังกล่าว เที่ยวบินทั้งหมดที่ปกติจะผ่านพื้นที่นี้ได้รับคำสั่งให้เปลี่ยนเส้นทางบิน ไม่ได้ถูกยกเลิกหรือลดจำนวนลง เพียงแต่เปลี่ยนเส้นทางบินเท่านั้น” นายสินชี้แจงก่อนเสริมว่าเส้นทางบินระหว่างประเทศที่เปลี่ยนเส้นทาง ได้แก่ เส้นทางจากภาคกลาง-ตะวันออกไปยังฟิลิปปินส์ จากไทยไปยังฟิลิปปินส์ จากไทยไปยังญี่ปุ่น จากจีนไปยังสปป.ลาว จากจีนไปยังเวียดนาม จากจีนไปยังมาเลเซีย และจากจีนไปยังอินโดนีเซีย เป็นต้นพร้อมเตือนว่าอาจมีการบังคับใช้ข้อจำกัดเพิ่มเติมหากกองทัพไทยยังขยายปฏิบัติการรุกต่อไป โดยย้ำว่ามาตรการเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มั่นใจว่าการเดินทางทางอากาศยังปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์

ชาวกัมพูชาหลายพันคนหอบลูกจูงหลานขนสัมภาระ  มารอข้ามแดน ที่ด่านบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ  และยังมีสายข่าวว่าชาวกัมพูชาอีกหลายจังหวัดในไทย จะทยอยเดินทางมาที่ด่านบ้านคลองลึกแห่งนี้ เพื่อข้ามกลับประเทศผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 ก.ค.68) ที่บริเวณหน้าจุดตรวจหนังสือเดินทาง จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว มีชาวกัมพูชาหลายพันคน ขนสัมภาระเดินทางมายืนรอ เพื่อที่จะข้ามชายแดนไปยังฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งจากการสอบถามชาวกัมพูชา บอกว่า ส่วนใหญ่ออกมาจากตลาดโรงเกลือเพื่อที่จะข้ามกลับบ้านเกิด บางคนเริ่มไม่ไว้วางใจกับสถานการณ์ความรุนแรงตามแนวชายแดนจังหวัดต่างๆเบื้องต้นเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรคลองลึก ได้ประชาสัมพันธ์พร้อมกับล่ามกัมพูชาแปลให้ชาวกัมพูชาได้ฟังว่า ขอให้ชาวกัมพูชาทั้งหมดที่อยู่บริเวณนี้ ไปพักคอยชั่วคราวที่บริเวณตลาดเทศบาล 2  ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังสถานีตำรวจภูธรคลองลึก  บริเวณดังกล่าวซึ่งมีโดมพักคอย สามารถหลบฝนหลบแดดได้  เพื่อป้องกันความแออัดที่จะเกิดขึ้นบริเวณหน้าจุดตรวจหนังสือเดินทางขาออก ไปยังประเทศกัมพูชา  เนื่องจากบางคนมีการขนข้าวของเครื่องใช้  เครื่องครัว ถังแก๊ส มายืนรอด้วย  ขณะที่ชาวกัมพูชาบางส่วน ก็เชื่อฟังเจ้าหน้าที่ยอมขนสัมภาระ เพื่อไปรอที่ตลาดเทศบาล 2  างรายยังคงอยู่ที่จุดเดิม รอฟังข่าวสาร ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับประเทศกัมพูชา  และทางกัมพูชายังไม่แจ้งว่าจะเปิดหรือไม่ขอให้ทุกคนอย่าพึ่งรีบร้อนทั้งนี้ยังมีสายข่าวแจ้งมาว่า  ยังมีชาวกัมพูชาอีกหลายพันคน  ที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นๆ ในประเทศไทย จะมุ่งหน้ามาที่จังหวัดสระแก้วแห่งนี้ เพื่อจะมารอข้ามแดนที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก  อำเภออรัญประเทศ  จังหวัดสระแก้ว  และตัวเลขวานนี้ พบว่าชาวกัมพูชา เดินทางออกนอกประเทศ โดยใช้หนังสือเดินทางพาสปอร์ต  จำนวน 553 คน ใช้บอเดอร์พาส 524  คน โดยชาวกัมพูชายังคงต้องการเดินทางกลับบ้านเกิด เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนทั้งสองประเทศ อาจขยายวงกว้างมากกว่านี้ การเดินทางกลับบ้านเกิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่มา สวท.สระแก้ว